วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

นิทานสอนใจ คนเลี้ยงไก่คนแรก ทุกเช้าจะเอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ แล้วก็เก็บ “ขี้ไก่” ใส่ตะกร้ากลับบ้าน!! แล้วทิ้งไข่ไก่ให้เน่าไว้ใน โรงเรือน เมื่อเขาเอาขี้ไก่กลับถึงบ้าน ทั้งบ้านก็เหม็นหึ่ง ไปด้วย กลิ่นขึ้ไก่ !!! คนทั้งบ้านต้องทนกับกลิ่นเหม็น !!! คนเลี้ยงไก่คนที่ 2 เอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ เก็บไข่ ไก่ใส่ตะกร้าเอากลับบ้าน เขาเอาไข่ไก่ลงเจียว กลิ่นหอมอบอวล ไปทั่วบ้าน คนทั้งบ้านได้กินไข่เจียวแสนอร่อย ไข่ไก่ที่เหลือเขา ก็เอาไปขาย แล้วได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน ทุกคนในบ้านมีความ สุขมาก แล้วในชีวิตของเราล่ะ เป็นพวกไหนเป็นคนเก็บ “ไข่ไก่ ” หรือเก็บ ”ขี้ไก่” ถ้าเราเป็นคนเก็บ “ขี้ไก่”ก็จะเป็นคนที่เฝ้าแต่เก็บเรื่องร้ายๆ แย่ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราไว้ในหัวของเรา และมีความทุกข์ตลอด เวลาที่คิดถึงมัน!!! แต่ถ้าเราเป็นคนที่เก็บ”ไข่ไก่” เราจดจำสิ่งที่ ดีๆ ที่เกิดในชีวิตของเราและมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงมัน!! คนเราส่วนใหญ่ชอบเป็นคนเก็บ “ขี้ไก่”เราถึงต้องเป็นทุกข์ตลอด เวลา เรื่องความเสียใจ ความผิดพลาด ความเจ็บใจฯลฯ มักจะติด อยู่ในใจของเรานานเท่านาน ถ้าเราอยากมีความสุขในชีวิต เลือก เก็บ”ไข่ไก่” กับชีวิต จงทิ้ง “ขี้ไก่” ไปเถอะ ชีวิตของเราจะได้มี ความสุขซักที ขอบคุณนิทานดีๆจากคุณ Kitti Tantharak ภาพ : http://xn--12ccna3g8bebt2fseua9iew8bb5ecm.blogspot.com/

นิทานสอนใจ

คนเลี้ยงไก่คนแรก ทุกเช้าจะเอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่
แล้วก็เก็บ “ขี้ไก่” ใส่ตะกร้ากลับบ้าน!!   แล้วทิ้งไข่ไก่ให้เน่าไว้ใน
โรงเรือน   เมื่อเขาเอาขี้ไก่กลับถึงบ้าน ทั้งบ้านก็เหม็นหึ่ง ไปด้วย
กลิ่นขึ้ไก่ !!! คนทั้งบ้านต้องทนกับกลิ่นเหม็น !!!

คนเลี้ยงไก่คนที่ 2 เอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่   เก็บไข่
ไก่ใส่ตะกร้าเอากลับบ้าน  เขาเอาไข่ไก่ลงเจียว กลิ่นหอมอบอวล
ไปทั่วบ้าน  คนทั้งบ้านได้กินไข่เจียวแสนอร่อย ไข่ไก่ที่เหลือเขา
ก็เอาไปขาย  แล้วได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน   ทุกคนในบ้านมีความ
สุขมาก

แล้วในชีวิตของเราล่ะ เป็นพวกไหนเป็นคนเก็บ “ไข่ไก่ ” หรือเก็บ
”ขี้ไก่” ถ้าเราเป็นคนเก็บ “ขี้ไก่”ก็จะเป็นคนที่เฝ้าแต่เก็บเรื่องร้ายๆ
แย่ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราไว้ในหัวของเรา   และมีความทุกข์ตลอด
เวลาที่คิดถึงมัน!!!  แต่ถ้าเราเป็นคนที่เก็บ”ไข่ไก่” เราจดจำสิ่งที่
ดีๆ ที่เกิดในชีวิตของเราและมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงมัน!!

คนเราส่วนใหญ่ชอบเป็นคนเก็บ “ขี้ไก่”เราถึงต้องเป็นทุกข์ตลอด
เวลา เรื่องความเสียใจ ความผิดพลาด ความเจ็บใจฯลฯ มักจะติด
อยู่ในใจของเรานานเท่านาน ถ้าเราอยากมีความสุขในชีวิต เลือก
เก็บ”ไข่ไก่” กับชีวิต    จงทิ้ง “ขี้ไก่” ไปเถอะ  ชีวิตของเราจะได้มี
ความสุขซักที

ขอบคุณนิทานดีๆจากคุณ Kitti Tantharak
ภาพ : http://xn--12ccna3g8bebt2fseua9iew8bb5ecm.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ดอกบัวชั่วนิรันดร์ กาลครั้งหนึ่ง ยังมีปราชญ์เฒ่าซึ่งล้มป่วยลงตามอายุขัย ลิงหนุ่ม ซึ่งเป็นศิษย์เห็นทีว่าอาจารย์อาจต้องจากไป ถึงกระนั้น ลิงหนุ่ม เคยได้ยินผู้คนเล่าขานกันว่ามีดอกบัวนาม "ดอกบัวชั่วนิรันดร์" ซึ่งสามารถรักษาทุกโรคได้อย่างมหัศจรรย์ ตามตำนานว่า ดอก บัวนั้นงอกงามอยู่ที่ใดสักแห่งใต้แสงจันทร์ แม้จะไม่แน่ว่าดอก บัวในตำนานอยู่ ณ ที่แห่งใด ลิงหนุ่มก็ตั้งใจ จะออกเดินทาง หลายพันลี้เพื่อไปหาดอกบัวชนิดนี้มารักษาปราชญ์เฒ่า ลิงหนุ่มโศกเศร้ากังวลใจ มันมุ่งออกเดินทาง เพื่อหวังรักษาชีวิต อาจารย์ไว้ แต่ในวันที่ลิงหนุ่มออกเดินทางนั้นเอง ปราชญ์เฒ่า กลับมานั่งดักรอศิษย์ที่สะพาน แล้วถามลิงหนุ่มว่า "เจ้าตอบข้าได้หรือไม่ดอกบัวชั่วนิรันดร์นั้นจะพบพานได้ ณ ที่ใด" ลิงหนุ่มเสียงสั่นน้ำตาเอ่ออยู่ภายใน ด้วยทราบดีว่าอาจารย์คิด อ่านประการใด "ท่านทราบได้อย่างไร นี่ท่านกำลังจะมอบคำสอนสุดท้ายแก่ข้า ใช่ไหม" ปราชญ์เฒ่าผู้ป่วยไข้แย้มยิ้ม แล้วบอกศิษย์ให้ตั้งใจฟัง "เจ้าหวั่นกลัวไปไย ความตายมิได้ทำให้ข้าจากไป ข้าเพียงวาง มือจากการดิ้นรนในชิวิต เพื่อเริ่มต้นการพักผ่อนอยู่ภายในหัวใจ ของเหล่าผู้เป็นที่รักทั้งหลายของข้าต่างหาก ปลูกดอกบัวไว้ใน ใจเจ้าเถิด แล้วหล่อเลี้ยงด้วยความคิดคำนึงอันสวยงาม แม้รูป ลักษณ์ของมันร่วงโรยไป ดอกบัวในใจจะยังคงงามไปชั่วนิรันดร์" ลิงหนุ่มไม่สามารถเอ่ยสิ่งใด ถ้อยคำสุดท้ายของปราชญ์เฒ่า ที่ ดังก้องอยู่ในใจนั้น ฟังเสมือนสุ้มเสียงจากดินแดนอันไกลแสน ไกล...ที่นี้ ข้าเชื่อว่า เจ้ารู้แล้วใช่ไหมศิษย์ข้า ว่าเจ้าจะพบดอก บัวชั่วนิรันดร์ได้ที่ใด... วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน แม้ปราชญ์เฒ่าจะจากไปแล้วเนิ่น นาน ลิงหนุ่มยังคงมาที่สะพานซึ่งมันเคยได้รับคำสอนสุดท้าย จากอาจารย์ และกล่าวว่า "อาจารย์ผู้ปราดเปรื่องของข้า ดอกบัวชั่วนิรันดร์ ยังคงสถิตอยู่ ไม่เปลี่ยน แปลง" ลิงหนุ่มวางมือไว้บนอกด้านซ้าย ขณะที่กล่าวเช่นนั้นกับสายลม .. อ่านจบแล้วได้อะไรจากเรื่องนี้บ้างลองให้ความคิดเห็นดูนะครับ........ นำเสนอโดย เรื่องดีๆมีข้อคิด > http://bit.ly/2iFE1x4 Line : ts2502 Instagram : th.thamma ที่มา : http://www.gotoknow.org/posts/250821 ภาพ : http://thammadeedee.blogspot.com/2011/04/

ดอกบัวชั่วนิรันดร์

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีปราชญ์เฒ่าซึ่งล้มป่วยลงตามอายุขัย ลิงหนุ่ม
ซึ่งเป็นศิษย์เห็นทีว่าอาจารย์อาจต้องจากไป ถึงกระนั้น  ลิงหนุ่ม
เคยได้ยินผู้คนเล่าขานกันว่ามีดอกบัวนาม "ดอกบัวชั่วนิรันดร์"
ซึ่งสามารถรักษาทุกโรคได้อย่างมหัศจรรย์  ตามตำนานว่า ดอก
บัวนั้นงอกงามอยู่ที่ใดสักแห่งใต้แสงจันทร์    แม้จะไม่แน่ว่าดอก
บัวในตำนานอยู่ ณ ที่แห่งใด     ลิงหนุ่มก็ตั้งใจ  จะออกเดินทาง
หลายพันลี้เพื่อไปหาดอกบัวชนิดนี้มารักษาปราชญ์เฒ่า

ลิงหนุ่มโศกเศร้ากังวลใจ มันมุ่งออกเดินทาง เพื่อหวังรักษาชีวิต
อาจารย์ไว้   แต่ในวันที่ลิงหนุ่มออกเดินทางนั้นเอง ปราชญ์เฒ่า
กลับมานั่งดักรอศิษย์ที่สะพาน แล้วถามลิงหนุ่มว่า

"เจ้าตอบข้าได้หรือไม่ดอกบัวชั่วนิรันดร์นั้นจะพบพานได้ ณ ที่ใด"
ลิงหนุ่มเสียงสั่นน้ำตาเอ่ออยู่ภายใน   ด้วยทราบดีว่าอาจารย์คิด
อ่านประการใด
"ท่านทราบได้อย่างไร  นี่ท่านกำลังจะมอบคำสอนสุดท้ายแก่ข้า
ใช่ไหม"
ปราชญ์เฒ่าผู้ป่วยไข้แย้มยิ้ม แล้วบอกศิษย์ให้ตั้งใจฟัง
"เจ้าหวั่นกลัวไปไย ความตายมิได้ทำให้ข้าจากไป  ข้าเพียงวาง
มือจากการดิ้นรนในชิวิต  เพื่อเริ่มต้นการพักผ่อนอยู่ภายในหัวใจ
ของเหล่าผู้เป็นที่รักทั้งหลายของข้าต่างหาก  ปลูกดอกบัวไว้ใน
ใจเจ้าเถิด  แล้วหล่อเลี้ยงด้วยความคิดคำนึงอันสวยงาม  แม้รูป
ลักษณ์ของมันร่วงโรยไป ดอกบัวในใจจะยังคงงามไปชั่วนิรันดร์"

ลิงหนุ่มไม่สามารถเอ่ยสิ่งใด  ถ้อยคำสุดท้ายของปราชญ์เฒ่า ที่
ดังก้องอยู่ในใจนั้น   ฟังเสมือนสุ้มเสียงจากดินแดนอันไกลแสน
ไกล...ที่นี้ ข้าเชื่อว่า   เจ้ารู้แล้วใช่ไหมศิษย์ข้า ว่าเจ้าจะพบดอก
บัวชั่วนิรันดร์ได้ที่ใด...

วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน แม้ปราชญ์เฒ่าจะจากไปแล้วเนิ่น
นาน   ลิงหนุ่มยังคงมาที่สะพานซึ่งมันเคยได้รับคำสอนสุดท้าย
จากอาจารย์ และกล่าวว่า
"อาจารย์ผู้ปราดเปรื่องของข้า  ดอกบัวชั่วนิรันดร์  ยังคงสถิตอยู่
ไม่เปลี่ยน แปลง"
ลิงหนุ่มวางมือไว้บนอกด้านซ้าย ขณะที่กล่าวเช่นนั้นกับสายลม

.. อ่านจบแล้วได้อะไรจากเรื่องนี้บ้างลองให้ความคิดเห็นดูนะครับ........ 

นำเสนอโดย
เรื่องดีๆมีข้อคิด > http://bit.ly/2iFE1x4
Line : ts2502
Instagram : th.thamma

ที่มา : http://www.gotoknow.org/posts/250821
ภาพ : http://thammadeedee.blogspot.com/2011/04/

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

มีพระสูตรที่พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบพระหรือนักปฏิบัติกับผู้เลี้ยงโคหรือวัว ท่านว่าลักษณะของผู้เลี้ยงวัวที่ดี คือเป็นผู้เขี่ยไข่ขาง ไข่ขางในภาษาอีสานหมายถึงไข่แมลงวัน ผู้เลี้ยงวัวที่คอยสังเกตวัวที่อยู่ในความดูแล ดูว่ามีไข่ขางที่ตรงไหนก็รีบเขี่ยทิ้งให้วัว ถือเป็นคนเลี้ยงโคเลี้ยงวัวที่ดี ท่านว่าพระและนักปฏิบัติที่ดีก็เช่นเดียวกัน ต้องรู้จักเขี่ยไข่ขาง การเขี่ยไข่ขางของพระและนักปฏิบัตินั้นหมายถึงการเขี่ยความคิดที่ไม่ดี 3 ประเภท ซึ่งรวมกันเรียกว่า มิจฉาสังกัปปะ อันเป็นความดำริหรือความคิดในทางที่เป็นพิษเป็นภัย และเป็นอันตรายต่อจิตใจหรือต่อชีวิตของเราคือ 1. ความดำริหรือความคิดในกาม ในทางเนื้อหนังหรือในทางที่เป็นอกุศลทั่วๆไป 2. ความดำริหรือความคิดในทางมุ่งร้ายด้วยโทสะ 3. ความดำริหรือความคิดในการเบียดเบียนคนอื่นหรือสัตว์อื่น ตัดตอนจากหนังสือ "อักษรส่อสาร" ของพระอาจารย์ชยสาโร ว่าด้วยเรื่อง ข.ไข่

มีพระสูตรที่พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบพระหรือนักปฏิบัติกับผู้เลี้ยงโคหรือวัว ท่านว่าลักษณะของผู้เลี้ยงวัวที่ดี คือเป็นผู้เขี่ยไข่ขาง

ไข่ขางในภาษาอีสานหมายถึงไข่แมลงวัน ผู้เลี้ยงวัวที่คอยสังเกตวัวที่อยู่ในความดูแล ดูว่ามีไข่ขางที่ตรงไหนก็รีบเขี่ยทิ้งให้วัว ถือเป็นคนเลี้ยงโคเลี้ยงวัวที่ดี

ท่านว่าพระและนักปฏิบัติที่ดีก็เช่นเดียวกัน ต้องรู้จักเขี่ยไข่ขาง การเขี่ยไข่ขางของพระและนักปฏิบัตินั้นหมายถึงการเขี่ยความคิดที่ไม่ดี 3 ประเภท ซึ่งรวมกันเรียกว่า มิจฉาสังกัปปะ อันเป็นความดำริหรือความคิดในทางที่เป็นพิษเป็นภัย และเป็นอันตรายต่อจิตใจหรือต่อชีวิตของเราคือ
1. ความดำริหรือความคิดในกาม ในทางเนื้อหนังหรือในทางที่เป็นอกุศลทั่วๆไป
2. ความดำริหรือความคิดในทางมุ่งร้ายด้วยโทสะ
3. ความดำริหรือความคิดในการเบียดเบียนคนอื่นหรือสัตว์อื่น                                                        

ตัดตอนจากหนังสือ "อักษรส่อสาร" ของพระอาจารย์ชยสาโร ว่าด้วยเรื่อง ข.ไข่

นิทานเซน ถนนโคลน .....ครั้งหนึ่งตันซานและเอคิโดะ นักบวชเซน เดินทางไปด้วยกันบนถนนที่เต็มไปด้วยโคลน ฝนยังคงตกหนักอยู่ มาถึงด้านหนึ่งของหัวโค้ง พวกเขาพบกับหญิงสาวน่ารักในชุดกิโมโนผ้าไหมและผ้าแพร ไม่สามารถที่จะข้ามไปยังถนนอีกฟากหนึ่งได้ “ขอโทษคุณสุภาพสตรี ให้ผมช่วยคุณ” ตันซานกล่าวแล้วอุ้มหล่อนด้วยอ้อมแขนของเขา มาวางอีกฝากของถนน เอคิโดะ รู้สึกถึงความไม่ถูกต้อง เขาคิดเรื่องนี้ทั้งวัน จนในที่สุดอดกลั้นต่อไปไม่ได้ จึงกล่าวกับ ตันซานว่า “เราเป็นพระ ไม่ควรเข้าใกล้ผู้หญิง” เขาบอกตันซาน “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หญิงสาวที่สวยและน่ารัก มันเป็นอันตราย ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น” “เราวางเธอตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนี่ ” ตันซานตอบ "ท่านยังไม่วางอีกรึ" เซน.... ถูกผิดอาจไม่เป็นทุกข์ แต่ยึดติดในถูกผิดต่างหากที่อาจเป็นทุกข์

นิทานเซน ถนนโคลน

.....ครั้งหนึ่งตันซานและเอคิโดะ นักบวชเซน เดินทางไปด้วยกันบนถนนที่เต็มไปด้วยโคลน ฝนยังคงตกหนักอยู่ มาถึงด้านหนึ่งของหัวโค้ง พวกเขาพบกับหญิงสาวน่ารักในชุดกิโมโนผ้าไหมและผ้าแพร ไม่สามารถที่จะข้ามไปยังถนนอีกฟากหนึ่งได้

“ขอโทษคุณสุภาพสตรี  ให้ผมช่วยคุณ” ตันซานกล่าวแล้วอุ้มหล่อนด้วยอ้อมแขนของเขา มาวางอีกฝากของถนน

เอคิโดะ รู้สึกถึงความไม่ถูกต้อง เขาคิดเรื่องนี้ทั้งวัน จนในที่สุดอดกลั้นต่อไปไม่ได้ จึงกล่าวกับ ตันซานว่า

“เราเป็นพระ ไม่ควรเข้าใกล้ผู้หญิง” เขาบอกตันซาน

“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หญิงสาวที่สวยและน่ารัก มันเป็นอันตราย ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น”

“เราวางเธอตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนี่ ” ตันซานตอบ

"ท่านยังไม่วางอีกรึ"

เซน....
ถูกผิดอาจไม่เป็นทุกข์
แต่ยึดติดในถูกผิดต่างหากที่อาจเป็นทุกข์

___________นิทานเซนแม่น้ำกับก้อนเมฆ___________ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่น้ำอันแสนงดงามไหลล่องผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า เธอกำเนิดมาจากสายน้ำเล็กๆที่แสนเบิกบาน ยามที่เธอไหลลงจากยอดเขา สายน้ำนั้นเต้นรำและร้องเพลงไปกับเธอ เมื่อไหลลงมาสู่พื้นราบ การเดินทางของเธอก็ค่อยๆ ช้าลง และเริ่มคิดคำนึงถึงมหาสมุทรอันแสนกว้างใหญ่ เมื่อกาลเวลาผ่านไป เธอเติบโตขึ้นเป็นแม่น้ำที่สวยงาม ไหลลัดเลาะไปตามภูเขาและทุ่งหญ้าอย่างสง่างาม วันหนึ่งแม่น้ำสังเกตเห็นเงาสะท้อนของก้อนเมฆในตัวเธอ ก้อนเมฆเหล่านั้นมีรูปทรงและสีสันอันหลากหลาย เธอไล่ตามก้อนเมฆเหล่านั้นไป หวังจะได้ครอบครองก้อนเมฆสักก้อนหนึ่ง หากแต่ความเป็นจริงก้อนเมฆนั้นลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้าอันแสนไกล และเปลี่ยนรูปร่างไปมาอยู่ตลอดเวลา บางทีก็เป็นรูปเสื้อโค้ต บางทีก็เป็นรูปม้า และด้วยความเปลี่ยนแปลงนั้นเองที่ทำให้แม่น้ำเป็นทุกข์อย่างยิ่ง กลับกลายเป็นว่าความสุขความเบิกบานของเธอคือ การวิ่งไล่ตามก้อนเมฆก้อนแล้วก้อนเล่า ในขณะเดียวกันนั้นความสิ้นหวัง ความโกรธและความเกลียดชังก็ค่อยๆ กลายเป็นชีวิตของเธอ แล้ววันหนึ่งเกิดมีลมแรงพัดพาเอาก้อนเมฆทั้งหมดหายไปจากฟากฟ้า ท้องฟ้าพลันว่างเปล่า เมื่อไม่มีก้อนเมฆให้แม่น้ำวิ่งไล่ตาม ชีวิตก็ช่างดูไร้ค่าเกินกว่าที่จะเธออยู่ต่อไป เธออยากตายและรำพึงกับตัวเองว่า "ฉันจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม ในเมื่อไม่มีก้อนเมฆเหล่านั้น" จึงเกิดคำถามกับตนเองว่าแม่น้ำจะคร่าชีวิตตัวเองได้อย่างไร ในคืนนั้นแม่น้ำได้มีโอกาสกลับมาใคร่ครวญอยู่กับตัวเองเป็นครั้งแรก เธอพบว่าที่ผ่านมาเธอมัวแต่วิ่งไล่ตามสิ่งที่อยู่ภายนอกโดยที่เธอไม่เคยย้อนกลับมามองดูตัวเองเลย และคืนนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงร้องไห้ของตัวเอง เสียงน้ำที่กระทบกับสายน้ำใหญ่ เธอได้ค้นพบบางสิ่งที่สำคัญเมื่อเธอสามารถฟังเสียงภายในตัวเอง เธอพบว่าสิ่งที่เธอเฝ้าตามหามาตลอดนั้นอยู่ในตัวเธอเอง ก้อนเมฆและน้ำนั้นเป็นดั่งกันและกัน ก้อนเมฆกำเนิดมาจากน้ำ และสุดท้ายก้อนเมฆก็กลายเป็นน้ำ ตัวเธอเองก็คือน้ำเช่นกัน เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อพระอาทิตย์ส่องฉายไปทั่วท้องฟ้า แม่น้ำได้พบบางสิ่งที่สวยงามเป็นครั้งแรก ซึ่งเธอไม่เคยสังเกตเห็นท้องฟ้าสีครามมาก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอมัวแต่สนใจก้อนเมฆ โดยไม่เคยมองท้องฟ้าที่เป็นบ้านของก้อนเมฆเลย ก้อนเมฆนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ท้องฟ้านี่สิมั่นคง เธอตระหนักได้ว่าท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นั้นอยู่ในใจเธอมาตั้งแต่แรกเริ่ม ปัญญาหรือความรู้แจ้งอันยิ่งใหญ่นี้นำความสุขสงบมาสู่แม่น้ำ เมื่อใดก็ตามที่เธอมองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่งดงาม เธอจะรู้ว่าความสงบศานติและความมั่นคงนั้นอยู่กับเธอเสมอ และในบ่ายวันนั้นก้อนเมฆก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แม่น้ำไม่ได้อยากครอบครองก้อนเมฆอีกแล้ว เธอกลับมองเห็นเพียงความสวยงามของก้อนเมฆแต่ละก้อน และยินดีกับการมีอยู่ของก้อนเมฆ เมื่อก้อนเมฆมาเยี่ยมเยือนท้องฟ้า เธอต้อนรับด้วยความรักความเมตตา และเมื่อก้อนเมฆจากไป เธอก็โบกมือลาด้วยความสุขและความรักความเมตตาเช่นเดียวกัน เพราะแม่น้ำรู้ว่าก้อนเมฆเหล่านั้นก็คือเธอ เธอไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างตัวเธอกับก้อนเมฆ ความสงบและความกลมกลืนกันนั้นมีอยู่ระหว่างเธอและก้อนเมฆ เย็นวันนั้น เมื่อแม่น้ำเปิดใจกว้างอย่างเต็มเปี่ยมให้กับท้องฟ้ายามเย็น สิ่งสวยงามก็เกิดขึ้น เธอได้พบภาพสะท้อนของพระจันทร์เต็มดวงที่สวยงาม กลมโตดั่งเพชรที่อาบฉายลงในตัวเธอ เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเธอจะสามารถสะท้อนภาพที่งดงามเช่นนั้นได้ ดังเช่นบทกวีของจีนที่กล่าวไว้ว่า “ดวงจันทร์ที่แสนสวยงามสดชื่น เดินทางท่องเที่ยวไปในท้องฟ้ากว้างไกล เมื่อจิตใจอันกว้างใหญ่ดั่งแม่น้ำของสรรพสิ่งเป็นอิสระ เมื่อนั้นภาพสะท้อนของดวงจันทร์อันสวยงามจะฉาดฉายในตัวเรา” จิตใจของแม่น้ำในขณะนั้นเป็นเช่นนี้เอง เธอได้สะท้อนภาพของพระจันทร์ที่สวยงามในใจเธอ ในขณะนั้น น้ำ ก้อนเมฆ และพระจันทร์กำลังจับมือกันฝึกเดินสมาธิอย่างช้าๆ ไปสู่มหาสมุทร ที่มา : http://allspirit.co.uk/riverclouds.html เรื่อง : ท่านติช นัท ฮันห์

___________นิทานเซนแม่น้ำกับก้อนเมฆ___________
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่น้ำอันแสนงดงามไหลล่องผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า เธอกำเนิดมาจากสายน้ำเล็กๆที่แสนเบิกบาน ยามที่เธอไหลลงจากยอดเขา สายน้ำนั้นเต้นรำและร้องเพลงไปกับเธอ เมื่อไหลลงมาสู่พื้นราบ การเดินทางของเธอก็ค่อยๆ ช้าลง และเริ่มคิดคำนึงถึงมหาสมุทรอันแสนกว้างใหญ่ เมื่อกาลเวลาผ่านไป เธอเติบโตขึ้นเป็นแม่น้ำที่สวยงาม ไหลลัดเลาะไปตามภูเขาและทุ่งหญ้าอย่างสง่างาม

     วันหนึ่งแม่น้ำสังเกตเห็นเงาสะท้อนของก้อนเมฆในตัวเธอ ก้อนเมฆเหล่านั้นมีรูปทรงและสีสันอันหลากหลาย เธอไล่ตามก้อนเมฆเหล่านั้นไป หวังจะได้ครอบครองก้อนเมฆสักก้อนหนึ่ง หากแต่ความเป็นจริงก้อนเมฆนั้นลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้าอันแสนไกล และเปลี่ยนรูปร่างไปมาอยู่ตลอดเวลา บางทีก็เป็นรูปเสื้อโค้ต บางทีก็เป็นรูปม้า และด้วยความเปลี่ยนแปลงนั้นเองที่ทำให้แม่น้ำเป็นทุกข์อย่างยิ่ง กลับกลายเป็นว่าความสุขความเบิกบานของเธอคือ การวิ่งไล่ตามก้อนเมฆก้อนแล้วก้อนเล่า ในขณะเดียวกันนั้นความสิ้นหวัง ความโกรธและความเกลียดชังก็ค่อยๆ กลายเป็นชีวิตของเธอ

     แล้ววันหนึ่งเกิดมีลมแรงพัดพาเอาก้อนเมฆทั้งหมดหายไปจากฟากฟ้า ท้องฟ้าพลันว่างเปล่า เมื่อไม่มีก้อนเมฆให้แม่น้ำวิ่งไล่ตาม ชีวิตก็ช่างดูไร้ค่าเกินกว่าที่จะเธออยู่ต่อไป เธออยากตายและรำพึงกับตัวเองว่า "ฉันจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม ในเมื่อไม่มีก้อนเมฆเหล่านั้น" จึงเกิดคำถามกับตนเองว่าแม่น้ำจะคร่าชีวิตตัวเองได้อย่างไร

     ในคืนนั้นแม่น้ำได้มีโอกาสกลับมาใคร่ครวญอยู่กับตัวเองเป็นครั้งแรก เธอพบว่าที่ผ่านมาเธอมัวแต่วิ่งไล่ตามสิ่งที่อยู่ภายนอกโดยที่เธอไม่เคยย้อนกลับมามองดูตัวเองเลย และคืนนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงร้องไห้ของตัวเอง เสียงน้ำที่กระทบกับสายน้ำใหญ่ เธอได้ค้นพบบางสิ่งที่สำคัญเมื่อเธอสามารถฟังเสียงภายในตัวเอง เธอพบว่าสิ่งที่เธอเฝ้าตามหามาตลอดนั้นอยู่ในตัวเธอเอง ก้อนเมฆและน้ำนั้นเป็นดั่งกันและกัน ก้อนเมฆกำเนิดมาจากน้ำ และสุดท้ายก้อนเมฆก็กลายเป็นน้ำ ตัวเธอเองก็คือน้ำเช่นกัน

     เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อพระอาทิตย์ส่องฉายไปทั่วท้องฟ้า แม่น้ำได้พบบางสิ่งที่สวยงามเป็นครั้งแรก ซึ่งเธอไม่เคยสังเกตเห็นท้องฟ้าสีครามมาก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอมัวแต่สนใจก้อนเมฆ โดยไม่เคยมองท้องฟ้าที่เป็นบ้านของก้อนเมฆเลย ก้อนเมฆนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ท้องฟ้านี่สิมั่นคง เธอตระหนักได้ว่าท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นั้นอยู่ในใจเธอมาตั้งแต่แรกเริ่ม ปัญญาหรือความรู้แจ้งอันยิ่งใหญ่นี้นำความสุขสงบมาสู่แม่น้ำ เมื่อใดก็ตามที่เธอมองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่งดงาม เธอจะรู้ว่าความสงบศานติและความมั่นคงนั้นอยู่กับเธอเสมอ

     และในบ่ายวันนั้นก้อนเมฆก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แม่น้ำไม่ได้อยากครอบครองก้อนเมฆอีกแล้ว เธอกลับมองเห็นเพียงความสวยงามของก้อนเมฆแต่ละก้อน และยินดีกับการมีอยู่ของก้อนเมฆ เมื่อก้อนเมฆมาเยี่ยมเยือนท้องฟ้า เธอต้อนรับด้วยความรักความเมตตา และเมื่อก้อนเมฆจากไป เธอก็โบกมือลาด้วยความสุขและความรักความเมตตาเช่นเดียวกัน เพราะแม่น้ำรู้ว่าก้อนเมฆเหล่านั้นก็คือเธอ เธอไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างตัวเธอกับก้อนเมฆ ความสงบและความกลมกลืนกันนั้นมีอยู่ระหว่างเธอและก้อนเมฆ

     เย็นวันนั้น เมื่อแม่น้ำเปิดใจกว้างอย่างเต็มเปี่ยมให้กับท้องฟ้ายามเย็น สิ่งสวยงามก็เกิดขึ้น เธอได้พบภาพสะท้อนของพระจันทร์เต็มดวงที่สวยงาม กลมโตดั่งเพชรที่อาบฉายลงในตัวเธอ เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเธอจะสามารถสะท้อนภาพที่งดงามเช่นนั้นได้ ดังเช่นบทกวีของจีนที่กล่าวไว้ว่า “ดวงจันทร์ที่แสนสวยงามสดชื่น เดินทางท่องเที่ยวไปในท้องฟ้ากว้างไกล เมื่อจิตใจอันกว้างใหญ่ดั่งแม่น้ำของสรรพสิ่งเป็นอิสระ เมื่อนั้นภาพสะท้อนของดวงจันทร์อันสวยงามจะฉาดฉายในตัวเรา” จิตใจของแม่น้ำในขณะนั้นเป็นเช่นนี้เอง เธอได้สะท้อนภาพของพระจันทร์ที่สวยงามในใจเธอ ในขณะนั้น น้ำ ก้อนเมฆ และพระจันทร์กำลังจับมือกันฝึกเดินสมาธิอย่างช้าๆ ไปสู่มหาสมุทร
ที่มา : http://allspirit.co.uk/riverclouds.html
เรื่อง : ท่านติช นัท ฮันห์

นิทานเซน : ศิษย์ที่หลงทาง ยังมีศิษย์เซนผู้หนึ่ง มีนิสัยเกียจคร้าน ทั้งยังชอบลักขโมยของผู้อื่น พฤติกรรมของเขาเป็นที่เอือมระอาของศิษย์เซนคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก จนกระทั่งเมื่อศิษย์เซนเจ้าปัญหาถูกจับได้ว่าลักขโมยอีกครั้ง บรรดาศิษย์คนอื่นๆ จึงได้รวมตัวกันมาฟ้องร้องต่ออาจารย์เซนผานกุย โดยยื่นคำขาดว่าหากอาจารย์เซนไม่กำจัดศิษย์ผู้นี้ให้พ้นไปจากอารามโดยทันที เหล่าศิษย์ที่เหลือจะเป็นฝ่ายออกไปจากอารามเซนแห่งนี้แทน มิคาด เมื่อได้ทราบเรื่องราว อาจารย์เซนผานกุยกลับกล่าวกับทุกคนว่า "พวกท่านล้วนเป็นผู้มีสติปัญญาสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดถูก-ผิด สิ่งใดดี-ชั่ว หากพวกท่านพาตัวพ้นจากอารามเซนแห่งนี้ไปล้วนไม่ก่อปัญหาภายนอก ทว่าศิษย์ผู้นี้ แม้แต่ถูก-ผิด เขายังมิอาจแยกแยะได้ หากเราไม่สอนเขาแล้วผู้ใดจะสอนเขา ดังนั้นเราจำเป็นต้องให้เขาอยู่ที่อารามแห่งนี้กับเรา ส่วนพวกท่านหากว่ามีผู้ใดไม่พอใจและตัดสินใจออกจากอารามนี้ไป ก็สุดแท้แต่เถิด" เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์เซนเจ้าปัญหาได้แต่คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความซาบซึ้งใจในจิตเมตตาของอาจารย์เซน และพยายามกลับตัวเป็นคนดีในที่สุด

นิทานเซน : ศิษย์ที่หลงทาง

         ยังมีศิษย์เซนผู้หนึ่ง มีนิสัยเกียจคร้าน ทั้งยังชอบลักขโมยของผู้อื่น พฤติกรรมของเขาเป็นที่เอือมระอาของศิษย์เซนคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก
        จนกระทั่งเมื่อศิษย์เซนเจ้าปัญหาถูกจับได้ว่าลักขโมยอีกครั้ง บรรดาศิษย์คนอื่นๆ จึงได้รวมตัวกันมาฟ้องร้องต่ออาจารย์เซนผานกุย โดยยื่นคำขาดว่าหากอาจารย์เซนไม่กำจัดศิษย์ผู้นี้ให้พ้นไปจากอารามโดยทันที เหล่าศิษย์ที่เหลือจะเป็นฝ่ายออกไปจากอารามเซนแห่งนี้แทน
        มิคาด เมื่อได้ทราบเรื่องราว อาจารย์เซนผานกุยกลับกล่าวกับทุกคนว่า "พวกท่านล้วนเป็นผู้มีสติปัญญาสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดถูก-ผิด สิ่งใดดี-ชั่ว หากพวกท่านพาตัวพ้นจากอารามเซนแห่งนี้ไปล้วนไม่ก่อปัญหาภายนอก ทว่าศิษย์ผู้นี้ แม้แต่ถูก-ผิด เขายังมิอาจแยกแยะได้ หากเราไม่สอนเขาแล้วผู้ใดจะสอนเขา ดังนั้นเราจำเป็นต้องให้เขาอยู่ที่อารามแห่งนี้กับเรา ส่วนพวกท่านหากว่ามีผู้ใดไม่พอใจและตัดสินใจออกจากอารามนี้ไป ก็สุดแท้แต่เถิด"
        เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์เซนเจ้าปัญหาได้แต่คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความซาบซึ้งใจในจิตเมตตาของอาจารย์เซน และพยายามกลับตัวเป็นคนดีในที่สุด

นิทานเซน : มากมารยาท (สอนไว้ดีมาก อยากให้อ่านกัน) ยังมีอุบาสกวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ไปกราบนมัสการพระผู้มีสมณศักดิ์สูงยังวัดแห่งหนึ่ง ทั้งสองสนทนาธรรมกันอย่างออกรส ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงเวลาอาหารกลางวัน เณรจึงได้จัดอาหารมาให้ทั้งสอง เป็นบะหมี่ชามใหญ่ 1 ชามและชามเล็ก 1 ชาม เมื่อพระผู้มีสมณศักดิ์สูงเห็นสำรับกับข้าวที่เณรยกมา จึงได้ยกบะหมี่ชามใหญ่ยื่นให้อุบาสกผู้นั้น ทั้งยังกล่าวว่า “ท่านรับประทานชามใหญ่เถอะ” หากยึดตามธรรมเนียมปฏิบัติ อุบาสกผู้นั้นควรที่จะปฏิเสธและผลักไสบะหมี่ชามใหญ่กลับคืนไปยังพระสงฆ์ เพื่อแสดงความเคารพเกรงใจ ทว่าอุบาสกผู้นี้กลับรับชามบะหมี่มาโดยไม่อิดเอื้อน จากนั้นลงมือรับประทานทันที เมื่อพระผู้มีสมณศักดิ์สูงเห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจจนหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางคิดว่า “แรกทีเดียวคิดว่าคนผู้นี้มีสติปัญญาไม่น้อย ไฉนกลับกลายเป็นโง่เขลาไร้มารยาทเช่นนี้” เมื่ออุบาสกรับประทานบะหมี่หมดชาม เงยหน้าขึ้นมาพบว่าพระรูปนั้นยังไม่ได้แตะต้องบะหมี่ชามเล็กแม้แต่น้อย ทั้งยังมีสีหน้าเย็นชา จึงยิ้มพลางเอ่ยถามว่า “พระคุณเจ้าไฉนไม่รับประทานบะหมี่?” พระผู้มีสมณศักดิ์สูงเงียบงันไม่ตอบ อุบาสกจึงยิ้มและกล่าวต่อไปว่า “กระผมรู้สึกหิวยิ่งนัก จึงสนใจแต่ปากท้องของตนเองโดยลืมเลือนพระคุณเจ้าไป แต่หากจะให้กระผมผลักไสบะหมี่ชามใหญ่ที่พระคุณเจ้าหยิบยื่นมาให้กระผมกลับคืนไปยังพระคุณเจ้าอีก นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของกระผม และในเมื่อไม่ได้ตั้งใจ จะต้องเสแสร้งแกล้งทำไปเพื่ออันใดเล่า ขอถามพระคุณเจ้าว่าการเกี่ยงกันด้วยความเกรงใจไปมานั้นที่แท้แล้วจุดมุ่งหมายคืออะไร?” พระผู้มีสมณศักดิ์สูงตอบว่า “เพื่อรับประทาน” อุบาสกจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “ในเมื่อจุดประสงค์คือเพื่อรับประทาน ท่านรับประทานหรือกระผมรับประทานก็ล้วนไม่ต่างกัน หรือว่าที่พระคุณเจ้าชิงมอบบะหมี่ชามใหญ่ให้กระผมนั้นเป็นเพียงการเสแสร้ง มิใช่น้ำใสใจจริง?” เมื่ออุบาสกกล่าวจบ พระผู้มีสมณศักดิ์สูงจึงได้รู้แจ้งกระจ่างใจ กระทั่งหลั่งน้ำตาออกมา ปัญญาเซน : การแสดงความเกรงใจที่มากเกินไปกลับกลายเป็นความเสแสร้ง การเคร่งครัดมารยาท มากพิธีจนเกินงามกลับกลายเป็นสิ่งไร้สาระ ทั้งนี้เพราะความซื่อสัตย์เปิดเผยจริงใจต่างหากจึงเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ ที่มา : หนังสือ 《菩提树下听禅的故事》, 惟真 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 中国华侨出版社, 2004.08, ISBN 7-80120-851-X

นิทานเซน : มากมารยาท (สอนไว้ดีมาก อยากให้อ่านกัน)

ยังมีอุบาสกวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ไปกราบนมัสการพระผู้มีสมณศักดิ์สูงยังวัดแห่งหนึ่ง ทั้งสองสนทนาธรรมกันอย่างออกรส ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงเวลาอาหารกลางวัน เณรจึงได้จัดอาหารมาให้ทั้งสอง เป็นบะหมี่ชามใหญ่ 1 ชามและชามเล็ก 1 ชาม

เมื่อพระผู้มีสมณศักดิ์สูงเห็นสำรับกับข้าวที่เณรยกมา จึงได้ยกบะหมี่ชามใหญ่ยื่นให้อุบาสกผู้นั้น ทั้งยังกล่าวว่า “ท่านรับประทานชามใหญ่เถอะ”

หากยึดตามธรรมเนียมปฏิบัติ อุบาสกผู้นั้นควรที่จะปฏิเสธและผลักไสบะหมี่ชามใหญ่กลับคืนไปยังพระสงฆ์ เพื่อแสดงความเคารพเกรงใจ ทว่าอุบาสกผู้นี้กลับรับชามบะหมี่มาโดยไม่อิดเอื้อน จากนั้นลงมือรับประทานทันที เมื่อพระผู้มีสมณศักดิ์สูงเห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจจนหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางคิดว่า “แรกทีเดียวคิดว่าคนผู้นี้มีสติปัญญาไม่น้อย ไฉนกลับกลายเป็นโง่เขลาไร้มารยาทเช่นนี้”

เมื่ออุบาสกรับประทานบะหมี่หมดชาม เงยหน้าขึ้นมาพบว่าพระรูปนั้นยังไม่ได้แตะต้องบะหมี่ชามเล็กแม้แต่น้อย ทั้งยังมีสีหน้าเย็นชา จึงยิ้มพลางเอ่ยถามว่า “พระคุณเจ้าไฉนไม่รับประทานบะหมี่?”

พระผู้มีสมณศักดิ์สูงเงียบงันไม่ตอบ อุบาสกจึงยิ้มและกล่าวต่อไปว่า “กระผมรู้สึกหิวยิ่งนัก จึงสนใจแต่ปากท้องของตนเองโดยลืมเลือนพระคุณเจ้าไป แต่หากจะให้กระผมผลักไสบะหมี่ชามใหญ่ที่พระคุณเจ้าหยิบยื่นมาให้กระผมกลับคืนไปยังพระคุณเจ้าอีก นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของกระผม และในเมื่อไม่ได้ตั้งใจ จะต้องเสแสร้งแกล้งทำไปเพื่ออันใดเล่า ขอถามพระคุณเจ้าว่าการเกี่ยงกันด้วยความเกรงใจไปมานั้นที่แท้แล้วจุดมุ่งหมายคืออะไร?”

พระผู้มีสมณศักดิ์สูงตอบว่า “เพื่อรับประทาน”

อุบาสกจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “ในเมื่อจุดประสงค์คือเพื่อรับประทาน ท่านรับประทานหรือกระผมรับประทานก็ล้วนไม่ต่างกัน หรือว่าที่พระคุณเจ้าชิงมอบบะหมี่ชามใหญ่ให้กระผมนั้นเป็นเพียงการเสแสร้ง มิใช่น้ำใสใจจริง?”

เมื่ออุบาสกกล่าวจบ พระผู้มีสมณศักดิ์สูงจึงได้รู้แจ้งกระจ่างใจ กระทั่งหลั่งน้ำตาออกมา

ปัญญาเซน : การแสดงความเกรงใจที่มากเกินไปกลับกลายเป็นความเสแสร้ง การเคร่งครัดมารยาท มากพิธีจนเกินงามกลับกลายเป็นสิ่งไร้สาระ ทั้งนี้เพราะความซื่อสัตย์เปิดเผยจริงใจต่างหากจึงเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของการเป็นมนุษย์

ที่มา : หนังสือ 《菩提树下听禅的故事》, 惟真 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 中国华侨出版社, 2004.08, ISBN 7-80120-851-X

>>>ข้อคิดดีๆ อยากให้เพือ่นอ่านคับ "จากใจโด้ " ผู้หญิงคนหนึ่ง ได้ระบายปัญหาของตนกับอาจารย์เซ็นว่า หลายปีก่อนสมัยเธอเป็นสาวแรกรุ่น เธอได้แต่งงานกับสามีที่อายุห่างกันประมาณ10ปี ในตอนนั้น สามีของเธอดูยิ่งใหญ่มากในสายตาของเธอ เธอชื่นชมและยกย่องสามีของเธอมาก แต่หลังจากอยู่กินกันมาหลายปีเขาก็เปลี่ยนไป ไม่เหลือความอลังการ น่าเกรงขาม ไม่เหลือซึ่งความน่าสนใจ เหมือนครั้งอดีตอีกแล้ว เธอถามอาจารย์เซ็นว่า เป็นเพราะเหตุใด? หรือการแต่งงาน คือสุสานของความรัก ใช่หรือเปล่า? เมื่อเธอเล่าจบ อาจารย์เซ็นจึงบอกกับเธอว่า “เธอจงตามอาตมามา” อาจารย์เซ็น พาเธอมายืนอยู่หน้าภูเขาลูกหนึ่ง แล้วถามว่า “ภูเขาลูกนี้ เป็นอย่างไรบ้าง?” “สูงใหญ่ ตระหง่าน ตระการตา และสวยงาม เป็นที่สุด” เธอบอก “ตามอาตมาขึ้นเขาเถอะ!” อาจารย์เซ็นกล่าว ตลอดทาง ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ มีแต่เดินกับเดิน เธอเริ่มเหนื่อย และอ่อนล้า อีกทั้งทางเดินที่ขรุขระ เธอจึงบ่นอะไร เยอะแยะออกมาเมื่อถึงยอดเขา อาจารย์เซ็นบอกเธอว่า“นี่คือภูเขาที่เธอเห็นเมื่อสักครู่นี้” “ภูเขาลูกนี้ไม่สวยเลย ทางเดินก็มีแต่หิน ต้นไม้ก็ไม่สวย ดูๆแล้ว ภูเขาลูกโน้น สวยกว่าซะอีก!” เธอระบายความรู้สึกออกมา อาจารย์เซ็นหัวเราะขึ้นมา และก็กล่าวว่า“ตอนที่เป็นแฟนกัน ก็เหมือนกับมองภูเขาจากที่ไกล ในสายตามีแต่ความชื่นชม เลื่อมใส เมื่อแต่งงานแล้ว ก็เหมือนกับการขึ้นเขา สิ่งที่เธอได้เห็น คือความปกติธรรมดาของกันและกัน เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขา สายตาของเธอก็เห็นแต่ภูเขาลูกอื่น ไม่เห็นภูเขาลูกเดิม ที่จริงแล้วภูเขาไม่ได้เปลี่ยน แต่เป็นเธอต่างหากที่เปลี่ยน เพราะใจเธอเปลี่ยน แววตาของเธอ จึงเปลี่ยนไป เมื่อหมดซึ่งความชื่นชม ภูเขาก็ไม่ยิ่งใหญ่อีกต่อไป เธอปรักปรำพร่ำบ่นมากเท่าใด ความเสียหายก็มีมากเท่านั้น เพราะอะไร เธอจึงสามารถยืนอยู่บนยอดเขาลูกนี้ และเห็นภูเขาลูกอื่น? ก็เพราะเธอเหยียบอยู่บนภูเขาลูกนี้ เธอควรสำนึกคุณ ไม่ใช่ปรักปรำ” (นิทานเซ็น) เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงบทสอนชีวิตคู่เท่านั้น ลูก ๆ ก็เหมือนกันตอนยังเด็กน้อยก็มักมองว่าพ่อแม่ของตนยิ่งใหญ่ พอเติบกล้าขาแกร่ง กลับมองว่าพ่อแม่ของผู้อื่นแสนดีกว่าของตน การคบค้าสมาคมฉันเพื่อนก็เหมือนกัน ตอนแรกคบกัน ถูกโฉลกถูกชะตากันไปเสียทุกเรื่อง เห็นดีเห็นงามตามกันไปทุกที่ พอวันเวลาเปลี่ยนจากความสนิทกลายเป็นสนิม เพราะเห็นคนอื่นเก่งกว่า ดีกว่าเพื่อนที่คบค้ากันมา แถมยังเกิดอาการไม่ไว้วางใจในการความสัมพันธ์ มีบ่อยไปที่กลายเป็นคู่อริเพราะการมองข้ามความดีที่เคยมีมา ใช่แหละคนเราควรที่จะต้องแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต แต่สิ่งใหม่นั้นควรเป็นสิ่งที่มาเพิ่มความความดีงามอันเก่าให้งดงามยิ่งขึ้น หาใช่มาทำลายกัน อย่ามองข้าม คุณค่า คุณความดีของคนใกล้ตัวเรา และพอใจในสิ่งที่มี แล้วชีวิตจะมีแต่ความสุขคับ >>>ถ้ารู้ตัวว่าน่ารัก อ่านอีกรอบนะคับ<<<

>>>ข้อคิดดีๆ อยากให้เพือ่นอ่านคับ  "จากใจโด้ "
ผู้หญิงคนหนึ่ง ได้ระบายปัญหาของตนกับอาจารย์เซ็นว่า หลายปีก่อนสมัยเธอเป็นสาวแรกรุ่น เธอได้แต่งงานกับสามีที่อายุห่างกันประมาณ10ปี ในตอนนั้น สามีของเธอดูยิ่งใหญ่มากในสายตาของเธอ เธอชื่นชมและยกย่องสามีของเธอมาก แต่หลังจากอยู่กินกันมาหลายปีเขาก็เปลี่ยนไป ไม่เหลือความอลังการ น่าเกรงขาม ไม่เหลือซึ่งความน่าสนใจ เหมือนครั้งอดีตอีกแล้ว เธอถามอาจารย์เซ็นว่า เป็นเพราะเหตุใด? หรือการแต่งงาน คือสุสานของความรัก ใช่หรือเปล่า?
เมื่อเธอเล่าจบ อาจารย์เซ็นจึงบอกกับเธอว่า “เธอจงตามอาตมามา”
อาจารย์เซ็น พาเธอมายืนอยู่หน้าภูเขาลูกหนึ่ง แล้วถามว่า “ภูเขาลูกนี้ เป็นอย่างไรบ้าง?” “สูงใหญ่ ตระหง่าน ตระการตา และสวยงาม เป็นที่สุด” เธอบอก “ตามอาตมาขึ้นเขาเถอะ!” อาจารย์เซ็นกล่าว
ตลอดทาง ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ มีแต่เดินกับเดิน เธอเริ่มเหนื่อย และอ่อนล้า อีกทั้งทางเดินที่ขรุขระ เธอจึงบ่นอะไร เยอะแยะออกมาเมื่อถึงยอดเขา อาจารย์เซ็นบอกเธอว่า“นี่คือภูเขาที่เธอเห็นเมื่อสักครู่นี้”
“ภูเขาลูกนี้ไม่สวยเลย ทางเดินก็มีแต่หิน ต้นไม้ก็ไม่สวย ดูๆแล้ว ภูเขาลูกโน้น สวยกว่าซะอีก!” เธอระบายความรู้สึกออกมา
อาจารย์เซ็นหัวเราะขึ้นมา และก็กล่าวว่า“ตอนที่เป็นแฟนกัน ก็เหมือนกับมองภูเขาจากที่ไกล ในสายตามีแต่ความชื่นชม เลื่อมใส เมื่อแต่งงานแล้ว ก็เหมือนกับการขึ้นเขา สิ่งที่เธอได้เห็น คือความปกติธรรมดาของกันและกัน เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขา สายตาของเธอก็เห็นแต่ภูเขาลูกอื่น ไม่เห็นภูเขาลูกเดิม ที่จริงแล้วภูเขาไม่ได้เปลี่ยน แต่เป็นเธอต่างหากที่เปลี่ยน เพราะใจเธอเปลี่ยน แววตาของเธอ จึงเปลี่ยนไป เมื่อหมดซึ่งความชื่นชม ภูเขาก็ไม่ยิ่งใหญ่อีกต่อไป เธอปรักปรำพร่ำบ่นมากเท่าใด ความเสียหายก็มีมากเท่านั้น เพราะอะไร เธอจึงสามารถยืนอยู่บนยอดเขาลูกนี้ และเห็นภูเขาลูกอื่น? ก็เพราะเธอเหยียบอยู่บนภูเขาลูกนี้ เธอควรสำนึกคุณ ไม่ใช่ปรักปรำ” (นิทานเซ็น)
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงบทสอนชีวิตคู่เท่านั้น ลูก ๆ ก็เหมือนกันตอนยังเด็กน้อยก็มักมองว่าพ่อแม่ของตนยิ่งใหญ่ พอเติบกล้าขาแกร่ง กลับมองว่าพ่อแม่ของผู้อื่นแสนดีกว่าของตน การคบค้าสมาคมฉันเพื่อนก็เหมือนกัน ตอนแรกคบกัน ถูกโฉลกถูกชะตากันไปเสียทุกเรื่อง เห็นดีเห็นงามตามกันไปทุกที่ พอวันเวลาเปลี่ยนจากความสนิทกลายเป็นสนิม เพราะเห็นคนอื่นเก่งกว่า ดีกว่าเพื่อนที่คบค้ากันมา แถมยังเกิดอาการไม่ไว้วางใจในการความสัมพันธ์ มีบ่อยไปที่กลายเป็นคู่อริเพราะการมองข้ามความดีที่เคยมีมา ใช่แหละคนเราควรที่จะต้องแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต แต่สิ่งใหม่นั้นควรเป็นสิ่งที่มาเพิ่มความความดีงามอันเก่าให้งดงามยิ่งขึ้น หาใช่มาทำลายกัน อย่ามองข้าม คุณค่า คุณความดีของคนใกล้ตัวเรา และพอใจในสิ่งที่มี แล้วชีวิตจะมีแต่ความสุขคับ
>>>ถ้ารู้ตัวว่าน่ารัก อ่านอีกรอบนะคับ<<<

......ทำไมนำ้ตกจึงสวย....เพราะนำ้ตกไม่ยอมเก็บนำ้ไว้ในชั้นตัวเอง....ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ....หากมีสิ่งดีๆมาถึงตัว....ก็อย่าเก็บสิ่งนั้นไว้เพียงคนเดียว....ต้องเรียนรู้ที่จะเเบ่งปัน....มีเเต่คนที่ให้ไปเท่านั้น....จึงจะเป็นคนที่ได้รับอย่างเเท้จริง....นิทานเซน....^_^

......ทำไมนำ้ตกจึงสวย....เพราะนำ้ตกไม่ยอมเก็บนำ้ไว้ในชั้นตัวเอง....ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ....หากมีสิ่งดีๆมาถึงตัว....ก็อย่าเก็บสิ่งนั้นไว้เพียงคนเดียว....ต้องเรียนรู้ที่จะเเบ่งปัน....มีเเต่คนที่ให้ไปเท่านั้น....จึงจะเป็นคนที่ได้รับอย่างเเท้จริง....นิทานเซน....^_^

นิทานเซ็นเรื่อง โคมไฟของคนตาบอด ตรอกสายหนึ่งที่ทั้งมืดทั้งแคบ ทั้งยังไม่มีดวงไฟส่องทางให้ความสว่างแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อถึงยามค่ำคืน การเดินทางในตรอกแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก มีพระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังตรอกดังกล่าวเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม ทว่าด้วยความที่ตรอกนี้มืดมิดกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าของตนเองยังไม่อาจมองเห็นได้ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก ในตอนนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินเข้ามายังตรอกดังกล่าว พลันทำให้ในตรอกเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร พระรูปนั้นได้ยินคนเดินผ่านทางกล่าวว่า "คนตาบอดผู้นั้นช่างแปลกนัก ตนเองมองไม่เห็นแท้ๆ ใยต้องถือโคมไฟให้วุ่นวาย" เมื่อพระได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ รอจนกระทั้งคนตาบอดถือโคมไฟคนนั้นเดินผ่านมา จึงเอ่ยถามขึ้นว่า "ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ?" คนผู้นั้นตอบว่า "ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการ ตาสองข้างมองไม่เห็น สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้าสายบ่ายเย็นล้วนไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร" พระได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า "เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?" คนตาบอดตอบว่า ... "เนื่องเพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าในยามกลางคืนไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้าคือมองไม่เห็นสิ่งใด ดังนั้นข้าจึงถือโคมไฟไปไหนมาไหนเสมอ" พระได้ยินดังนั้นก็เกิดความซาบซึ้งใจ เอ่ยคำ อมิตาพุทธออกมา และกล่าวต่อไปว่า "ท่านช่างมีเมตตาธรรม ห่วงใยเพื่อนมนุษย์" ผิดคาดคนตาบอดกลับกล่าวว่า "ผิดแล้ว ข้าทำไปเพื่อตัวเอง" "ทำเพื่อตัวเองอย่างไร?" พระถามต่อด้วยความสงสัยใจ คนตาบอดอธิบายว่า ... เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอกใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอาหรือไม่ ท่านดูข้าเองนั้นแม้เป็นคนตาบอด แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่านคือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง แต่เมื่อข้าถือโคมไฟทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ... ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้นข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย ปัญญาเซน : การช่วยเหลือผู้อื่น ประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้เสมอ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะกระทำกับผู้ใดหรือสิ่งใด สักวันเราย่อมได้รับผลจากการกระทำนั้น

นิทานเซ็นเรื่อง โคมไฟของคนตาบอด

ตรอกสายหนึ่งที่ทั้งมืดทั้งแคบ ทั้งยังไม่มีดวงไฟส่องทางให้ความสว่างแม้แต่น้อย

ดังนั้นเมื่อถึงยามค่ำคืน การเดินทางในตรอกแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

มีพระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังตรอกดังกล่าวเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม ทว่าด้วยความที่ตรอกนี้มืดมิดกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าของตนเองยังไม่อาจมองเห็นได้
เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก

ในตอนนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินเข้ามายังตรอกดังกล่าว พลันทำให้ในตรอกเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร พระรูปนั้นได้ยินคนเดินผ่านทางกล่าวว่า

"คนตาบอดผู้นั้นช่างแปลกนัก ตนเองมองไม่เห็นแท้ๆ ใยต้องถือโคมไฟให้วุ่นวาย"

เมื่อพระได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ รอจนกระทั้งคนตาบอดถือโคมไฟคนนั้นเดินผ่านมา
จึงเอ่ยถามขึ้นว่า "ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ?"

คนผู้นั้นตอบว่า "ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการ ตาสองข้างมองไม่เห็น สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้าสายบ่ายเย็นล้วนไม่ต่างกัน
ทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร"

พระได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น
เอ่ยถามต่อไปว่า "เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?"

คนตาบอดตอบว่า ...
"เนื่องเพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าในยามกลางคืนไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้าคือมองไม่เห็นสิ่งใด
ดังนั้นข้าจึงถือโคมไฟไปไหนมาไหนเสมอ"

พระได้ยินดังนั้นก็เกิดความซาบซึ้งใจ เอ่ยคำ อมิตาพุทธออกมา
และกล่าวต่อไปว่า "ท่านช่างมีเมตตาธรรม ห่วงใยเพื่อนมนุษย์"

ผิดคาดคนตาบอดกลับกล่าวว่า "ผิดแล้ว ข้าทำไปเพื่อตัวเอง"

"ทำเพื่อตัวเองอย่างไร?" พระถามต่อด้วยความสงสัยใจ

คนตาบอดอธิบายว่า ...
เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอกใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอาหรือไม่ ท่านดูข้าเองนั้นแม้เป็นคนตาบอด แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่านคือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง

แต่เมื่อข้าถือโคมไฟทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ...
ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้นข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น
และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย

ปัญญาเซน : การช่วยเหลือผู้อื่น ประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้เสมอ  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะกระทำกับผู้ใดหรือสิ่งใด สักวันเราย่อมได้รับผลจากการกระทำนั้น