วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

นิทานสอนใจ: ใครกันที่ชนะ ในประเทศญี่ปุ่นสมัยก่อน มีประเพณีอย่างหนึ่งของพระภิกษุนิกายเซ็น คือ พระภิกษุอาคันตุกะ ที่เดินทางมาถึงที่วัดใด จะต้องตอบปัญหาธรรมชนะพระภิกษุที่อยู่ก่อน จึงจะมีสิทธิ์เข้าพักได้ ถ้าแพ้ก็ต้องเดินทางหาวัดใหม่ต่อไป วันหนึ่ง มีพระอาคันตุกะองค์หนึ่ง เดินทางมาจากที่ไกลถึงที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศญี่ปุ่น วัดนี้มีพระเซนพี่น้อง 2 องค์อาศัยอยู่ องค์พี่เป็นผู้คงแก่เรียนรอบรู้แตกฉานมาก องค์น้องนอกจากจะตาบอดข้างหนึ่งแล้ว ยังมีสติปัญญาค่อนข้างทึบอีกด้วย เมื่อทราบระเบียบว่า จะต้องมีการโต้ธรรมะกันก่อนเข้าพักอาศัย พระอาคันตุกะก็ยินดีปฏิบัติตาม แต่เนื่องจากพระองค์พี่เหน็ดเหนื่อยจากการปฏิบัติงานมาทั้งวัน จึงได้มอบให้พระองค์น้องทำหน้าที่โต้ปัญหาธรรมแทน และได้แนะให้พระองค์น้องใช้วิธีโต้ปัญหาแบบ “เงียบ” พระทั้งสององค์จึงไปยังที่บูชา จุดธูปบูชาพระรัตนตรัย เสร็จแล้วการโต้ปัญหาธรรมะก็เริ่มขึ้น ชั่วครู่เดียวพระอาคันตุกะก็เดินออกไปหาพระองค์พี่ แล้วกล่าวว่า “น้องชายท่านเก่งเหลือเกิน ข้าพเจ้ายอมแพ้แล้ว “ “ท่านโต้ปัญหากันว่าอย่างไรล่ะ” พระองค์พี่ถาม พระอาคันตุกะจึงชี้แจงว่า “ทีแรกข้าพเจ้าชูนิ้วขึ้นมาก่อนหนึ่งนิ้ว ซึ่งหมายถึงพระพุทธ น้องชายของท่านชูสองนิ้วตอบ ซึ่งหมายความว่าเมื่อมีพระพุทธก็ต้องมีพระธรรมด้วย ข้าพเจ้าจึงชูสามนิ้วตอบซึ่งหมายถึงว่าถ้าจะให้ครบ ก็ต้องมีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ด้วย คราวนี้น้องชายท่านกลับชูกำปั้นมาที่หน้าผม ซึ่งหมายความว่า จะเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ตาม ก็ต้องมารวมเป็นหนึ่งเดียว คือพุทธศาสนา ผมจึงว่าน้องท่านเป็นผู้ชนะ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่” พระภิกษุอาคันตุกะกล่าวแล้ว ก็ลาพระภิกษุองค์พี่เดินทางต่อไปสักครู่ พระองค์น้องก็เข้ามาหาพระพี่ชายอย่างเร่งรีบ แล้วถามหาพระอาคันตุกะว่า “เจ้าหมอนั่นมันไปไหนแล้วล่ะ?” “เธอชนะเขาแล้วไม่ใช่หรือ ?” พระผู้พี่ถามด้วยความสงสัย “ชนะกะผีอะไรล่ะ” พระองค์น้องโกรธ “เธอโต้ปัญหากับเขาว่าอย่างไรล่ะ?“ พระองค์พี่ถามต่อ “โต้อย่างไรนะหรือ” พระองค์น้องตะโกน “พอเห็นหน้าผมเท่านั้น มันก็ชูนิ้วเดียวมาที่หน้าผม ซึ่งมันดูหมิ่นว่าผมมีตาข้างเดียว ผมสู้อดทนเพราะเห็นว่าเป็นแขก จึงชูตอบไปสองนิ้ว แสดงความยินดีที่เขามีตาครบบริบูรณ์ แทนที่มันจะรู้ตัว มันกลับชูนิ้วกลับมาอีกสามนิ้ว ซึ่งหมายความว่า ทั้งผมและมันมีตารวมกันอยู่สามตา อย่างนี้ไม่ใช่เยาะเย้ยแล้วจะเรียกว่าอะไร ผมเหลืออดจริงๆ จึงชูกำปั้นขึ้นมาจะต่อยหน้ามันสักหน่อย แต่มันกลับวิ่งออกมาเสียก่อน” อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ ผมว่านี่ก็คือมุมมองของคนเราต่อสิ่งต่างๆ แม้ว่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่มุมมองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างมองในมุมที่ตนสนใจ เข้าใจ และอยากจะมอง และถ้าเป็นแบบนี้ความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในการบริหารคนก็เช่นกันครับ ท่านที่เป็นหัวหน้างาน เป็นผู้จัดการ ที่ต้องบริหารจัดการลูกน้อง เวลาที่เราคุยกับลูกน้อง หรือได้ยินลูกน้องคุยอะไรมา เรามองอย่างไร เราเห็นในสิ่งที่ลูกน้องของเราเห็นหรือไม่ หรือต่างคนต่างมองในมุมของตนเอง โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็จะไม่ได้ใจลูกน้องของเราได้เลย ดังนั้นสิ่งที่ควรจะระวังก็คือ อย่าให้มุมมองของตนเองมาปิดหูปิดตา และไม่สนใจมุมมองของคนอื่น จงเปิดใจ ละทิฐิและยอมที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองของตน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งความเข้าใจนี้ก็จะส่งผลดีต่อทั้งการทำงาน และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันอีกด้วย Cr. ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร Think People Consulting มิถุนายน 13, 2014

นิทานสอนใจ: ใครกันที่ชนะ

ในประเทศญี่ปุ่นสมัยก่อน มีประเพณีอย่างหนึ่งของพระภิกษุนิกายเซ็น คือ พระภิกษุอาคันตุกะ ที่เดินทางมาถึงที่วัดใด จะต้องตอบปัญหาธรรมชนะพระภิกษุที่อยู่ก่อน จึงจะมีสิทธิ์เข้าพักได้ ถ้าแพ้ก็ต้องเดินทางหาวัดใหม่ต่อไป

วันหนึ่ง มีพระอาคันตุกะองค์หนึ่ง เดินทางมาจากที่ไกลถึงที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศญี่ปุ่น วัดนี้มีพระเซนพี่น้อง 2 องค์อาศัยอยู่ องค์พี่เป็นผู้คงแก่เรียนรอบรู้แตกฉานมาก องค์น้องนอกจากจะตาบอดข้างหนึ่งแล้ว ยังมีสติปัญญาค่อนข้างทึบอีกด้วย เมื่อทราบระเบียบว่า จะต้องมีการโต้ธรรมะกันก่อนเข้าพักอาศัย พระอาคันตุกะก็ยินดีปฏิบัติตาม แต่เนื่องจากพระองค์พี่เหน็ดเหนื่อยจากการปฏิบัติงานมาทั้งวัน จึงได้มอบให้พระองค์น้องทำหน้าที่โต้ปัญหาธรรมแทน และได้แนะให้พระองค์น้องใช้วิธีโต้ปัญหาแบบ “เงียบ” พระทั้งสององค์จึงไปยังที่บูชา จุดธูปบูชาพระรัตนตรัย เสร็จแล้วการโต้ปัญหาธรรมะก็เริ่มขึ้น ชั่วครู่เดียวพระอาคันตุกะก็เดินออกไปหาพระองค์พี่ แล้วกล่าวว่า

“น้องชายท่านเก่งเหลือเกิน ข้าพเจ้ายอมแพ้แล้ว “

“ท่านโต้ปัญหากันว่าอย่างไรล่ะ” พระองค์พี่ถาม

พระอาคันตุกะจึงชี้แจงว่า “ทีแรกข้าพเจ้าชูนิ้วขึ้นมาก่อนหนึ่งนิ้ว ซึ่งหมายถึงพระพุทธ น้องชายของท่านชูสองนิ้วตอบ ซึ่งหมายความว่าเมื่อมีพระพุทธก็ต้องมีพระธรรมด้วย ข้าพเจ้าจึงชูสามนิ้วตอบซึ่งหมายถึงว่าถ้าจะให้ครบ ก็ต้องมีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ด้วย คราวนี้น้องชายท่านกลับชูกำปั้นมาที่หน้าผม ซึ่งหมายความว่า จะเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ตาม ก็ต้องมารวมเป็นหนึ่งเดียว คือพุทธศาสนา ผมจึงว่าน้องท่านเป็นผู้ชนะ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่”

พระภิกษุอาคันตุกะกล่าวแล้ว ก็ลาพระภิกษุองค์พี่เดินทางต่อไปสักครู่ พระองค์น้องก็เข้ามาหาพระพี่ชายอย่างเร่งรีบ แล้วถามหาพระอาคันตุกะว่า

“เจ้าหมอนั่นมันไปไหนแล้วล่ะ?”

“เธอชนะเขาแล้วไม่ใช่หรือ ?” พระผู้พี่ถามด้วยความสงสัย

“ชนะกะผีอะไรล่ะ” พระองค์น้องโกรธ

“เธอโต้ปัญหากับเขาว่าอย่างไรล่ะ?“ พระองค์พี่ถามต่อ

“โต้อย่างไรนะหรือ” พระองค์น้องตะโกน

“พอเห็นหน้าผมเท่านั้น มันก็ชูนิ้วเดียวมาที่หน้าผม ซึ่งมันดูหมิ่นว่าผมมีตาข้างเดียว ผมสู้อดทนเพราะเห็นว่าเป็นแขก จึงชูตอบไปสองนิ้ว แสดงความยินดีที่เขามีตาครบบริบูรณ์ แทนที่มันจะรู้ตัว มันกลับชูนิ้วกลับมาอีกสามนิ้ว ซึ่งหมายความว่า ทั้งผมและมันมีตารวมกันอยู่สามตา อย่างนี้ไม่ใช่เยาะเย้ยแล้วจะเรียกว่าอะไร ผมเหลืออดจริงๆ จึงชูกำปั้นขึ้นมาจะต่อยหน้ามันสักหน่อย แต่มันกลับวิ่งออกมาเสียก่อน”

อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ ผมว่านี่ก็คือมุมมองของคนเราต่อสิ่งต่างๆ แม้ว่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่มุมมองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างมองในมุมที่ตนสนใจ เข้าใจ และอยากจะมอง และถ้าเป็นแบบนี้ความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ในการบริหารคนก็เช่นกันครับ ท่านที่เป็นหัวหน้างาน เป็นผู้จัดการ ที่ต้องบริหารจัดการลูกน้อง เวลาที่เราคุยกับลูกน้อง หรือได้ยินลูกน้องคุยอะไรมา เรามองอย่างไร เราเห็นในสิ่งที่ลูกน้องของเราเห็นหรือไม่ หรือต่างคนต่างมองในมุมของตนเอง โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็จะไม่ได้ใจลูกน้องของเราได้เลย

ดังนั้นสิ่งที่ควรจะระวังก็คือ อย่าให้มุมมองของตนเองมาปิดหูปิดตา และไม่สนใจมุมมองของคนอื่น จงเปิดใจ ละทิฐิและยอมที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองของตน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งความเข้าใจนี้ก็จะส่งผลดีต่อทั้งการทำงาน และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันอีกด้วย

Cr. ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
      Think People Consulting
      มิถุนายน 13, 2014

แพะตัวหนึ่ง เจอหมาป่า หมาป่าจะกินแพะ แพะจึงสู้ใช้เขาสู้กับหมาป่า และก็ตะโกนขอให้เพื่อนๆช่วย ..วัว มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไป ..ม้า มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไปอีกตัว ..ลา เห็นเป็นหมาป่า ก็เดินหนีไปอย่างเงียบ ๆ ..หมู ผ่านมา เห็นเป็นหมาป่า ก็หายตัวไป ..กระต่าย ได้ยิน วิ่งหนีแซงเพื่อน ๆ ไปทุกตัว ..หมา ได้ยิน รีบวิ่งเข้ามา จะสู้กับหมาป่า หมาป่าเห็นมีหมามาช่วย จึงวิ่งหนีไป แพะรอดตาย กลับมาถึงบ้าน เพื่อนๆมาพูดคุยด้วยทุก “ตัว” ..วัวบอก “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เขาของข้า แทงทะลุท้องมัน” ..ม้า “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เกือกของข้า กระทืบมัน” ..ลา “ทำไมไม่บอก ข้าจะร้องเสียงดัง ๆ ให้หมาป่าตกใจตาย” ..หมู “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้ปากของข้า พุ่งชนให้มันตกเขาไป” ..กระต่าย “ทำไมไม่บอก ข้าวิ่งเร็ว ข้าจะไปส่งข่าว ขอความช่วยเหลือ” ในการพูดคุยกันอย่างเมามันนี้ ขาดอยู่”ตัว”เดียว คือ หมา มิตรภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ดูที่ คำพูด ที่แสนหวาน แต่เป็น มือ ที่ยื่นให้ตอนคับขัน พวกที่อยู่ล้อมหน้าล้อมหลังคุณ ทำให้คุณรู้สึกดี อาจจะไม่ใช่เพื่อนแท้ของคุณ แต่กับเขา ที่ดูเหมือนห่างไกล แต่ใส่ใจคุณ ตลอดเวลา ตอนคุณมีความสุข ไม่ไปสมทบ แต่ตอนคุณต้องการช่วยเหลือ จะทำเพื่อคุณอย่างเงียบๆ และเป็นห่วงใส่ใจคุณ นั่นเป็นเพื่อนแท้ของคุณ.. Cr.ได้คิดก็คิดได้

แพะตัวหนึ่ง เจอหมาป่า หมาป่าจะกินแพะ
แพะจึงสู้ใช้เขาสู้กับหมาป่า และก็ตะโกนขอให้เพื่อนๆช่วย

..วัว มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไป

..ม้า มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไปอีกตัว

..ลา เห็นเป็นหมาป่า ก็เดินหนีไปอย่างเงียบ ๆ

..หมู ผ่านมา เห็นเป็นหมาป่า ก็หายตัวไป

..กระต่าย ได้ยิน วิ่งหนีแซงเพื่อน ๆ ไปทุกตัว

..หมา ได้ยิน รีบวิ่งเข้ามา จะสู้กับหมาป่า

หมาป่าเห็นมีหมามาช่วย จึงวิ่งหนีไป
แพะรอดตาย กลับมาถึงบ้าน
เพื่อนๆมาพูดคุยด้วยทุก “ตัว”

..วัวบอก “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เขาของข้า
แทงทะลุท้องมัน”

..ม้า “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เกือกของข้า
กระทืบมัน”

..ลา “ทำไมไม่บอก ข้าจะร้องเสียงดัง ๆ
ให้หมาป่าตกใจตาย”

..หมู “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้ปากของข้า
พุ่งชนให้มันตกเขาไป”

..กระต่าย “ทำไมไม่บอก ข้าวิ่งเร็ว ข้าจะไปส่งข่าว ขอความช่วยเหลือ”

ในการพูดคุยกันอย่างเมามันนี้
ขาดอยู่”ตัว”เดียว คือ หมา

มิตรภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ดูที่ คำพูด ที่แสนหวาน
แต่เป็น มือ ที่ยื่นให้ตอนคับขัน

พวกที่อยู่ล้อมหน้าล้อมหลังคุณ ทำให้คุณรู้สึกดี อาจจะไม่ใช่เพื่อนแท้ของคุณ

แต่กับเขา ที่ดูเหมือนห่างไกล แต่ใส่ใจคุณ
ตลอดเวลา

ตอนคุณมีความสุข ไม่ไปสมทบ
แต่ตอนคุณต้องการช่วยเหลือ
จะทำเพื่อคุณอย่างเงียบๆ และเป็นห่วงใส่ใจคุณ
นั่นเป็นเพื่อนแท้ของคุณ..

Cr.ได้คิดก็คิดได้

สิงโตออกคำสั่งให้สัตว์ทั้งหลายในป่ามาเล่าเรื่องขำขันกัน เจ้าป่าประกาศว่า สัตว์แต่ละตัวต้องเล่าขำขันหนึ่งเรื่อง ถ้ามีสัตว์ผู้ฟังแม้ตัวเดียวไม่หัวเราะ แสดงว่าขำขันเรื่องนั้นสอบไม่ผ่าน ผู้เล่าจะถูกสิงโตฆ่าตาย โทษฐานไม่ขำ ลิงเป็นตัวแรกที่ลุกขึ้นเล่า ขำขันของลิงตลกมากจนสัตว์ทุกตัวหัวเราะงอหาย ยกเว้นเต่าซึ่งมองลิงด้วยความงุนงง สายตาไม่มีแววขำเลยสักนิด ดังนั้นสิงโตจึงฆ่าลิงเสีย โทษฐานเล่าเรื่องไม่ตลก ม้าลายเป็นรายถัดไป พอมันเล่าเรื่องจบ สัตว์ทั้งหลายก็โพล่งหัวเราะด้วยความขบขันอย่างยิ่ง ขำขันของม้าลายยอดเยี่ยมมาก แต่กระนั้นเต่าก็ยังไม่เห็นว่าเรื่องนั้นขำ สิงโตจึงฆ่าม้าลายเสีย นักเล่ารายต่อไปคือยีราฟ แก๊กของมันตลกมากเช่นกัน แต่กระนั้นมันก็หนีไม่พ้นความตาย เพราะดูเหมือนมาตรฐานความขำของเต่าสูงเกินไป กวางเป็นนักเล่าตัวถัดมา มันเล่าเรื่องขำขันที่ครอบครัวของมันเล่าต่อกันมาหลายชั่วรุ่นแล้ว ทุกครั้งที่เล่าก็ขำกันทั้งวงไม่เคยพลาด แต่กวางก็ไม่รอด เพราะเต่าไม่ขำเลยสักนิด รายต่อไปคือกระรอก มันเล่าขำขันของมันไปไม่ทันจบเรื่อง เต่าก็โพล่งหัวเราะออกมาด้วยความขบขันเป็นที่สุด สัตว์ทั้งหลายมองตากันด้วยความงุนงง เพราะเรื่องที่กระรอกเล่ายังไม่จบและยังไม่ถึงจุดตลก แลเห็นเต่าหัวเราะขำกลิ้ง ร้องว่า “โอ้ย! สุดยอด! ขำมาก ขำจริง ๆ...” สิงโตถามเต่าว่า “ขำอะไรวะ? กระรอกยังเล่าไม่จบเลย” เต่าตอบว่า “โอ้ย! ขำขันของลิงนี่ขำจริง ๆ!” Cr. วินทร์ เลียววาริณ

สิงโตออกคำสั่งให้สัตว์ทั้งหลายในป่ามาเล่าเรื่องขำขันกัน เจ้าป่าประกาศว่า สัตว์แต่ละตัวต้องเล่าขำขันหนึ่งเรื่อง ถ้ามีสัตว์ผู้ฟังแม้ตัวเดียวไม่หัวเราะ แสดงว่าขำขันเรื่องนั้นสอบไม่ผ่าน ผู้เล่าจะถูกสิงโตฆ่าตาย โทษฐานไม่ขำ

ลิงเป็นตัวแรกที่ลุกขึ้นเล่า ขำขันของลิงตลกมากจนสัตว์ทุกตัวหัวเราะงอหาย ยกเว้นเต่าซึ่งมองลิงด้วยความงุนงง สายตาไม่มีแววขำเลยสักนิด ดังนั้นสิงโตจึงฆ่าลิงเสีย โทษฐานเล่าเรื่องไม่ตลก

ม้าลายเป็นรายถัดไป พอมันเล่าเรื่องจบ สัตว์ทั้งหลายก็โพล่งหัวเราะด้วยความขบขันอย่างยิ่ง ขำขันของม้าลายยอดเยี่ยมมาก แต่กระนั้นเต่าก็ยังไม่เห็นว่าเรื่องนั้นขำ สิงโตจึงฆ่าม้าลายเสีย

นักเล่ารายต่อไปคือยีราฟ แก๊กของมันตลกมากเช่นกัน แต่กระนั้นมันก็หนีไม่พ้นความตาย เพราะดูเหมือนมาตรฐานความขำของเต่าสูงเกินไป

กวางเป็นนักเล่าตัวถัดมา มันเล่าเรื่องขำขันที่ครอบครัวของมันเล่าต่อกันมาหลายชั่วรุ่นแล้ว ทุกครั้งที่เล่าก็ขำกันทั้งวงไม่เคยพลาด แต่กวางก็ไม่รอด เพราะเต่าไม่ขำเลยสักนิด

รายต่อไปคือกระรอก มันเล่าขำขันของมันไปไม่ทันจบเรื่อง เต่าก็โพล่งหัวเราะออกมาด้วยความขบขันเป็นที่สุด สัตว์ทั้งหลายมองตากันด้วยความงุนงง เพราะเรื่องที่กระรอกเล่ายังไม่จบและยังไม่ถึงจุดตลก แลเห็นเต่าหัวเราะขำกลิ้ง ร้องว่า “โอ้ย! สุดยอด! ขำมาก ขำจริง ๆ...”

สิงโตถามเต่าว่า “ขำอะไรวะ? กระรอกยังเล่าไม่จบเลย”

เต่าตอบว่า “โอ้ย! ขำขันของลิงนี่ขำจริง ๆ!”

Cr. วินทร์ เลียววาริณ

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่อง พระพุทธเจ้าได้เคยทำกรรมชั่วอะไรไว้บ้างในอดีต พระ พุทธเจ้าของเราทรงเผยพระประวัติกรรมและผลของกรรมของพระองค์ กับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ขณะประทับเหนือพระศิลาอันน่ารื่นรมย์ใกล้สระอโนดาด ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ๑๔ ข้อ ณ ที่นั้นว่า ๑. เราเห็นภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้ว ได้ถวายผ้าเก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในกาลนั้น ผลของกรรมคือการถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้า กรรมเก่าข้อแรกนี้เป็นกุศลกรรม ๒. ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาลต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัวจึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ แม้เราจะกระหายน้ำก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามปรารถนา ๓. ในชาติอื่นแต่กาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ บางแห่งเป็นมุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุขเวทนาแสนสาหัสหลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยกรรมอันเหลือนั้นในภพหลังสุด เราจึงได้รับคำกล่าวตู่ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ๔. เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้วได้ถูกกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางสุนทริกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่จริง ๕. เมื่อก่อนเราเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา สอนมนต์ให้กับมาณพ ๕๐๐ คนอยู่ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกะพวกศิษย์ของเราว่าฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม แม้เมื่อเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้นมาณพทั้งปวงเที่ยวไปภิกขาในสกุล พากันบอกแก่มหาชนว่าฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุทั้ง ๕๐๐ เหล่านี้ได้รับคำกล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ๖. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์จับใส่ลงในซอกเขา แล้วทับด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วเท้าของเราจนห้อเลือด ๗. ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ในหนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผาดักไว้ทั่วหนทาง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนูผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าเรา ๘. ในกาลก่อน เราเป็นนายควาญช้างได้ไสช้าง ให้จับมัดพระปัจเจกมนีผู้สูงสุด แม้กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีตัวดุร้าย วิ่งแล่นเข้าไปในคอกเขา เบื้องหน้าผู้ประเสริฐ ๙. ในกาลก่อน เราเป็นทหารราบ เป็นแม่ทัพฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก ด้วยวิบากแห่งกรรมที่เหลือนั้น บัดนี้ไฟนั้นยังมาไหม้ที่เท้าของเราทั้งสิ้นอีก เพราะกรรมยังไม่พินาศไป ๑๐. ในกาลก่อน เราเป็นเด็กลูกของชาวประมงในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้วเกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะคือปวดศีรษะได้มีแล้วแก่เรา ในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน ถูกพระเจ้าวิฏฏุภะฆ่าแล้ว พระเจ้าวิฏฏุภะนี้คือพระเจ้าวิฑูฑภะที่ฆ่าเจ้าศากยะนั่นเอง ๑๑. เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลายในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ ว่า “ท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง อย่ากินข้าวสาลีเลย” ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้วอยู่ในเมืองเวรัญชา ได้บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน ๑๒. ในเวลาที่นักมวยปล้ำๆ กันอยู่ เราได้เบียดเบียนบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความปวดหลังได้มีแก่เรา ๑๓. เมื่อก่อน เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้บุตรเศรษฐีตาย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นโรคปักขันทิกาพาธจึงมีแก่เรา โรคนี้แหละที่เกิดแก่พระพุทธเจ้าของเราในเวลาใกล้จะปรินิพพาน ๑๔. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล่าว่า เมื่อเราเป็นมาณพชื่อโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหนโพธิญาณนั้นท่านได้ยากยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นเราได้ทำกรรมที่ทำได้ยากคือทุกกรกิริยา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เรามิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ คือมิได้บรรลุโพธิญาณด้วยทุกกรกิริยานี้ เราอันบุพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณในทางที่ผิด บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวงไม่มีความโศกเศร้า ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน --------------------------------------------------------------------------------- ข้อคิดจากเรื่องนี้.. เดี๋ยวนี้การสะเดาะเคราะห์แก้กรรม มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ทั้งที่วัดและที่สำนักของอาจารย์ทั้งหลาย ผู้ตั้งตัวเป็นผู้แก้กรรมก็เป็นทั้ง พระ ,แม่ชี, ฆราวาส ส่วนวิธีการนั้นล้วนแต่พิศดาร หรือแบบพื้นๆ ทั่วไป ไม่ว่าจะแก้กรรมเรื่องความรัก เรื่องการเงิน หรือแม้การแก้กรรมเพื่อให้ถูกหวยรางวัลใหญ่นี้ก็ไปกันใหญ่ ส่วนมากก็หวังแต่ประโยนช์ส่วนตัวทั้งนั้น นี้ไม่ได้กล่าวพาดพิงถึงพระคุณเจ้าบางท่านที่ถือวิธีการนี้เป็นอุบายในการสอนธรรมครับ ถ้าพาดพิงถึงท่านกระผมต้องขอ ขมามา ณ. ที่นี้ด้วย จากเรื่องนี้ ท่านผู้อ่านลองดูก่อน ขนาดพระพุทธเจ้ายังมีกรรมเก่าเป็นเศษผลกรรมติดตามมา แล้วเราเป็นปุถุชนคนธรรมดาจะขนาดไหน สามารถทำอะไรกับกรรมเก่านี้ได้ไหม? เรื่องทำบุญแก้กรรม กรรมดีกรรมชั่วเมื่อทำไว้ไม่หายไปไหน สุดท้ายแค่รอเวลาให้ผลในวันหนึ่ง การ **แก้กรรม** ตามหลักพุทธศาสนาถือว่าทำไม่ได้ (แต่ทำให้**หมดกรรม**ได้) สามารถบรรเทาหรือเลื่อนการให้ผลออกไปได้ สิ่งสำคัญสุดสำหรับคนอยาก แก้กรรม(บรรเทา) คือจิตที่สำนึกผิดและตั้งใจมั่นจะไม่เบียดเบียนใครในทุกด้านอีกแล้วตลอด ชีวิต ซึ่งต้องยอมรับผลกรรมส่วนหนึ่งด้วย ไม่ใช่จะหนีไม่ยอมรับโทษเลย แยกแยะให้ดีๆ นะครับ ระหว่างคำว่า แก้กรรม กับ หมดกรรม ---------------------------------------------------------------------------------- เราควรกระทำ 3 อย่าง 1.เฉย ยอมรับวิบากกรรมอันนั้น ถือว่ากรรมสิ้นสุดลง 2.ถ้า ประทุษร้ายตอบ เท่ากับพอรับผลกรรมชั่วแล้ว ก็สร้างกรรมชั่วขึ้นมาใหม่ ในภายภาคหน้าก็จะโดนประทุษร้ายอีก 3. ให้อภัย และแผ่เมตตา เท่ากับรับวิบากกรรมเก่าแล้ว ก็สร้างวิบากกรรมดีขึ้นมาแทน ในกาลต่อไป ศัตรูนั้นก็จะกลายเป็นมิตร หรือได้รับวิบากกรรมดีแทน ขอให้ท่านผู้อ่านอย่าได้ท้อแท้กับเรื่องที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตเรานะครับ ขอให้เรายอมรับ และให้ใช้สติปัญญา แก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง ขอให้ธรรมะ นำทางแก่ทุกท่าน ---------------------------------------------------------------------------------- ส่วนวิธีที่จะให้หมดกรรมเลยนั้น เราสามารถทำได้อย่างแน่นอน ขอยกที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ให้ท่านผู้อ่านลองคิดดู *****ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมเป็นไฉน สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้เราเรียกว่ากรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้แล เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ ฯ***** เพราะฉะนั้น อริยมรรคมีองค์ 8 ย่อลงมาให้สั้นๆคือ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้เราหมดกรรม ถึงที่สุดแห่งความหมดทุกข์ได้ นั้นคือการเข้าสู่มรรคผลนิพานนั้นเอง ผู้เขียน...เรื่องนี้ยาวสักหน่อยครับ Keyword คือ "เราทำอย่างไหน เราก็จะได้อย่างนั้น" หวังว่าท่านผู้อ่านคงได้รับประโยชน์ ไม่มากก็น้อย ขอบพระคุณที่ติดตาม ---------------------------------------------------------------------------------- ที่มา พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๓ อังคุตรนิกาย จตุกกนิบาต - หน้าที่ 219 ว่าด้วย บุพจริยาของพระองค์เอง http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=32&A=7849&Z=7924 เนื้อหาบางส่วนตัดมาจากข้อความ ของ โจโฉ เสียงธรรม www.jozho.net ภาพจากอินเตอร์เน็ต ไม่ทราบที่มา ขออนุโมทนาบุญกับผู้วาดด้วย ---------------------------------------------------------------------------------- ติดตามเรื่องน่าอ่านอีกมากมาย ได้ที่ เพจนิทานธรรม เพจ : www.facebook.com/Nitandham เว็บไซค์ : http://nitandham.blogspot.com Youtube : https://goo.gl/F27gUr เข้าร่วมกลุ่มของเราได้ที่ https://www.facebook.com/groups/Nitandham/ ----------------------------------------------------------------------------------

เรื่อง พระพุทธเจ้าได้เคยทำกรรมชั่วอะไรไว้บ้างในอดีต

พระ พุทธเจ้าของเราทรงเผยพระประวัติกรรมและผลของกรรมของพระองค์ กับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ขณะประทับเหนือพระศิลาอันน่ารื่นรมย์ใกล้สระอโนดาด ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ๑๔ ข้อ ณ ที่นั้นว่า

๑. เราเห็นภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้ว ได้ถวายผ้าเก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในกาลนั้น ผลของกรรมคือการถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้า กรรมเก่าข้อแรกนี้เป็นกุศลกรรม

๒. ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาลต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัวจึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ แม้เราจะกระหายน้ำก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามปรารถนา

๓. ในชาติอื่นแต่กาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ บางแห่งเป็นมุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุขเวทนาแสนสาหัสหลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยกรรมอันเหลือนั้นในภพหลังสุด เราจึงได้รับคำกล่าวตู่ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา

๔. เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้วได้ถูกกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางสุนทริกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่จริง

๕. เมื่อก่อนเราเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา สอนมนต์ให้กับมาณพ ๕๐๐ คนอยู่ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกะพวกศิษย์ของเราว่าฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม แม้เมื่อเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้นมาณพทั้งปวงเที่ยวไปภิกขาในสกุล พากันบอกแก่มหาชนว่าฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุทั้ง ๕๐๐ เหล่านี้ได้รับคำกล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา

๖. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์จับใส่ลงในซอกเขา แล้วทับด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วเท้าของเราจนห้อเลือด

๗. ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ในหนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผาดักไว้ทั่วหนทาง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนูผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าเรา

๘. ในกาลก่อน เราเป็นนายควาญช้างได้ไสช้าง ให้จับมัดพระปัจเจกมนีผู้สูงสุด แม้กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีตัวดุร้าย วิ่งแล่นเข้าไปในคอกเขา เบื้องหน้าผู้ประเสริฐ

๙. ในกาลก่อน เราเป็นทหารราบ เป็นแม่ทัพฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก ด้วยวิบากแห่งกรรมที่เหลือนั้น บัดนี้ไฟนั้นยังมาไหม้ที่เท้าของเราทั้งสิ้นอีก เพราะกรรมยังไม่พินาศไป

๑๐. ในกาลก่อน เราเป็นเด็กลูกของชาวประมงในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้วเกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะคือปวดศีรษะได้มีแล้วแก่เรา ในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน ถูกพระเจ้าวิฏฏุภะฆ่าแล้ว พระเจ้าวิฏฏุภะนี้คือพระเจ้าวิฑูฑภะที่ฆ่าเจ้าศากยะนั่นเอง

๑๑. เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลายในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ ว่า “ท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง อย่ากินข้าวสาลีเลย” ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้วอยู่ในเมืองเวรัญชา ได้บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน

๑๒. ในเวลาที่นักมวยปล้ำๆ กันอยู่ เราได้เบียดเบียนบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความปวดหลังได้มีแก่เรา

๑๓. เมื่อก่อน เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้บุตรเศรษฐีตาย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นโรคปักขันทิกาพาธจึงมีแก่เรา โรคนี้แหละที่เกิดแก่พระพุทธเจ้าของเราในเวลาใกล้จะปรินิพพาน

๑๔. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล่าว่า เมื่อเราเป็นมาณพชื่อโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหนโพธิญาณนั้นท่านได้ยากยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นเราได้ทำกรรมที่ทำได้ยากคือทุกกรกิริยา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เรามิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ คือมิได้บรรลุโพธิญาณด้วยทุกกรกิริยานี้ เราอันบุพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณในทางที่ผิด บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวงไม่มีความโศกเศร้า ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน

---------------------------------------------------------------------------------
ข้อคิดจากเรื่องนี้..

เดี๋ยวนี้การสะเดาะเคราะห์แก้กรรม  มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ทั้งที่วัดและที่สำนักของอาจารย์ทั้งหลาย ผู้ตั้งตัวเป็นผู้แก้กรรมก็เป็นทั้ง พระ ,แม่ชี, ฆราวาส ส่วนวิธีการนั้นล้วนแต่พิศดาร หรือแบบพื้นๆ ทั่วไป ไม่ว่าจะแก้กรรมเรื่องความรัก เรื่องการเงิน หรือแม้การแก้กรรมเพื่อให้ถูกหวยรางวัลใหญ่นี้ก็ไปกันใหญ่ ส่วนมากก็หวังแต่ประโยนช์ส่วนตัวทั้งนั้น นี้ไม่ได้กล่าวพาดพิงถึงพระคุณเจ้าบางท่านที่ถือวิธีการนี้เป็นอุบายในการสอนธรรมครับ ถ้าพาดพิงถึงท่านกระผมต้องขอ ขมามา ณ. ที่นี้ด้วย จากเรื่องนี้ ท่านผู้อ่านลองดูก่อน
ขนาดพระพุทธเจ้ายังมีกรรมเก่าเป็นเศษผลกรรมติดตามมา แล้วเราเป็นปุถุชนคนธรรมดาจะขนาดไหน สามารถทำอะไรกับกรรมเก่านี้ได้ไหม?
เรื่องทำบุญแก้กรรม กรรมดีกรรมชั่วเมื่อทำไว้ไม่หายไปไหน สุดท้ายแค่รอเวลาให้ผลในวันหนึ่ง  การ **แก้กรรม** ตามหลักพุทธศาสนาถือว่าทำไม่ได้  (แต่ทำให้**หมดกรรม**ได้)  สามารถบรรเทาหรือเลื่อนการให้ผลออกไปได้  สิ่งสำคัญสุดสำหรับคนอยาก แก้กรรม(บรรเทา)  คือจิตที่สำนึกผิดและตั้งใจมั่นจะไม่เบียดเบียนใครในทุกด้านอีกแล้วตลอด ชีวิต ซึ่งต้องยอมรับผลกรรมส่วนหนึ่งด้วย ไม่ใช่จะหนีไม่ยอมรับโทษเลย แยกแยะให้ดีๆ นะครับ ระหว่างคำว่า แก้กรรม กับ หมดกรรม
----------------------------------------------------------------------------------
เราควรกระทำ 3 อย่าง
1.เฉย ยอมรับวิบากกรรมอันนั้น ถือว่ากรรมสิ้นสุดลง

2.ถ้า ประทุษร้ายตอบ เท่ากับพอรับผลกรรมชั่วแล้ว ก็สร้างกรรมชั่วขึ้นมาใหม่ ในภายภาคหน้าก็จะโดนประทุษร้ายอีก

3. ให้อภัย และแผ่เมตตา เท่ากับรับวิบากกรรมเก่าแล้ว ก็สร้างวิบากกรรมดีขึ้นมาแทน ในกาลต่อไป ศัตรูนั้นก็จะกลายเป็นมิตร หรือได้รับวิบากกรรมดีแทน

ขอให้ท่านผู้อ่านอย่าได้ท้อแท้กับเรื่องที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตเรานะครับ ขอให้เรายอมรับ และให้ใช้สติปัญญา แก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง ขอให้ธรรมะ นำทางแก่ทุกท่าน 
----------------------------------------------------------------------------------
ส่วนวิธีที่จะให้หมดกรรมเลยนั้น เราสามารถทำได้อย่างแน่นอน ขอยกที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ให้ท่านผู้อ่านลองคิดดู

*****ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมเป็นไฉน สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้เราเรียกว่ากรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้แล เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ ฯ*****

เพราะฉะนั้น อริยมรรคมีองค์ 8 ย่อลงมาให้สั้นๆคือ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้เราหมดกรรม ถึงที่สุดแห่งความหมดทุกข์ได้ นั้นคือการเข้าสู่มรรคผลนิพานนั้นเอง

ผู้เขียน...เรื่องนี้ยาวสักหน่อยครับ Keyword คือ  "เราทำอย่างไหน เราก็จะได้อย่างนั้น" หวังว่าท่านผู้อ่านคงได้รับประโยชน์ ไม่มากก็น้อย
ขอบพระคุณที่ติดตาม
----------------------------------------------------------------------------------
ที่มา
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๓ อังคุตรนิกาย จตุกกนิบาต - หน้าที่ 219
ว่าด้วย บุพจริยาของพระองค์เอง
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=32&A=7849&Z=7924
เนื้อหาบางส่วนตัดมาจากข้อความ ของ โจโฉ เสียงธรรม
www.jozho.net
ภาพจากอินเตอร์เน็ต ไม่ทราบที่มา ขออนุโมทนาบุญกับผู้วาดด้วย
----------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเรื่องน่าอ่านอีกมากมาย ได้ที่ เพจนิทานธรรม
เพจ : www.facebook.com/Nitandham
เว็บไซค์ : http://nitandham.blogspot.com
Youtube : https://goo.gl/F27gUr 
เข้าร่วมกลุ่มของเราได้ที่
https://www.facebook.com/groups/Nitandham/
----------------------------------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ตรรกะแห่งความเปล่าประโยชน์ มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนั่งสบายๆ ไร้กังวลเหมือนว่าปล่อยชีวิตให้หมดไปทุกวินาทีอย่างไร้ค่าที่ยังหนุ่มแน่นแท้ๆ ขณะนั้นมีอาจารย์เซนผู้หนึ่งผ่านมาพอดีจึงรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของหนุ่มผู้นี้จึงเอ่ยถามว่า “ว่าอย่างไรพ่อหนุ่ม วันนี้อากาศดีจริงๆ เจ้าว่าไหม ช่วงเวลาดีเช่นนี้ไยเจ้ามานั่งทำตัวเปล่าประโยชน์ ไม่คิดทำสิ่งใดให้เกิดในวันเวลาดีๆ อย่างนี้เลยหรือ?” ชายหนุ่มได้ยินก็ถอนหายใจยาวๆ เหมือนว่าเบื่อหน่าอย่างเต็มแก่พร้อมทั้งตอบกลับมาว่า “สิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ล้วนไม่ใช่ของข้าสักอย่างคงมีเพียงร่างกายนี้เท่านั้นกระมั้งที่เป็นของข้า แล้วอย่างนี้จำเป็นด้วยหรือที่ต้องดิ้นรนให้เปลืองแรงเพื่อสิ่งที่ไม่ใช่ของข้า?” อาจารย์เซนจึงถามต่อว่า “บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า?” ชายหนุ่มตอบ “ข้าไม่มีบ้านหรอก มีไปก็เป็นภาระเปล่า สู้ไม่มีเสียยังดีกว่า” อาจารย์ถามต่อ “แล้วคนรักของเจ้าเล่า?” ชายหนุ่มตอบอีกครั้ง “คนรักข้าก็ไม่มี มีไปพอหมดรักก็เกลียดกัน สู้ไม่มีเสียแต่แรกยังดีเสียกว่าอีก” อาจารย์ยังถามไม่เลิก “เพื่อนสนิทมิตรสหายเจ้าก็ไม่มีหรือ?” ชายหนุ่มตอบกลับอีกครั้ง “ข้าก็ไม่มีอีกเช่นกัน มีเพื่อนก็ต้องเสียเพื่อนในสักวัน สู้ไม่มีเสียดีกว่า” อาจารย์ถามด้วยความสงสัยอีกว่า “แล้วไม่คิดทำงานหาเงินบ้างเลยหรือ?” ชายหนุ่มตอบแย้งอีกครั้ง “เงินทองได้มาก็ต้องจ่ายออกไป ไม่ได้มีประโยชน์อันใด เป็นเรื่องสิ้นเปลืองเปล่าๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องทำเสียแต่ต้นดีกว่า” “มันเป็นเช่นนั้นหรือ” อาจารย์เซนเข้าใจดีมากขึ้น จึงกล่าวต่อไปอีกว่า “เอาอย่างงี้ เดี๋ยวข้าจะหาเชือกให้สักเส้นก็แล้วกัน” “ท่านจะเอาเชือกมาให้ข้าทำไมกัน?” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย “ก็ให้เจ้าผูกคอตายไปเสียเลยอย่างไงล่ะ” อาจารย์เซนไขข้อสงสัย ชายหนุ่มถามด้วยความขุ่นเคืองว่า “ท่านต้องการให้ข้าตายอย่างงั้นหรือ?” อาจารย์เซนจึงอธิบายให้หายสงสัยว่า “มันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ?” หากว่ากันตามตรรกะความคิดของเจ้า ทุกคนต้องตายในท้ายที่สุดอยู่แล้วนี่ เมื่อเป็นเช่นนั้นชีวิตในปัจจุบันนี้ย่อมเปล่าประโยชน์ เมื่อเปล่าประโยชน์ ทำไมไม่ตายเสียแต่ตอนนี้เลยเล่า?” ในชีวิตย่อมไม่มีสิ่งใดที่ไร้ประโยชน์ หากจะมีคงมีเพียงการไม่ทำสิ่งใดเลยเท่านั้นเอง

ตรรกะแห่งความเปล่าประโยชน์

มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนั่งสบายๆ ไร้กังวลเหมือนว่าปล่อยชีวิตให้หมดไปทุกวินาทีอย่างไร้ค่าที่ยังหนุ่มแน่นแท้ๆ ขณะนั้นมีอาจารย์เซนผู้หนึ่งผ่านมาพอดีจึงรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของหนุ่มผู้นี้จึงเอ่ยถามว่า

“ว่าอย่างไรพ่อหนุ่ม วันนี้อากาศดีจริงๆ เจ้าว่าไหม ช่วงเวลาดีเช่นนี้ไยเจ้ามานั่งทำตัวเปล่าประโยชน์ ไม่คิดทำสิ่งใดให้เกิดในวันเวลาดีๆ อย่างนี้เลยหรือ?”
ชายหนุ่มได้ยินก็ถอนหายใจยาวๆ เหมือนว่าเบื่อหน่าอย่างเต็มแก่พร้อมทั้งตอบกลับมาว่า “สิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ล้วนไม่ใช่ของข้าสักอย่างคงมีเพียงร่างกายนี้เท่านั้นกระมั้งที่เป็นของข้า แล้วอย่างนี้จำเป็นด้วยหรือที่ต้องดิ้นรนให้เปลืองแรงเพื่อสิ่งที่ไม่ใช่ของข้า?”
อาจารย์เซนจึงถามต่อว่า “บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า?”
ชายหนุ่มตอบ “ข้าไม่มีบ้านหรอก มีไปก็เป็นภาระเปล่า สู้ไม่มีเสียยังดีกว่า”
อาจารย์ถามต่อ “แล้วคนรักของเจ้าเล่า?”
ชายหนุ่มตอบอีกครั้ง “คนรักข้าก็ไม่มี มีไปพอหมดรักก็เกลียดกัน สู้ไม่มีเสียแต่แรกยังดีเสียกว่าอีก”
อาจารย์ยังถามไม่เลิก “เพื่อนสนิทมิตรสหายเจ้าก็ไม่มีหรือ?”
ชายหนุ่มตอบกลับอีกครั้ง “ข้าก็ไม่มีอีกเช่นกัน มีเพื่อนก็ต้องเสียเพื่อนในสักวัน สู้ไม่มีเสียดีกว่า”
อาจารย์ถามด้วยความสงสัยอีกว่า “แล้วไม่คิดทำงานหาเงินบ้างเลยหรือ?”
ชายหนุ่มตอบแย้งอีกครั้ง “เงินทองได้มาก็ต้องจ่ายออกไป ไม่ได้มีประโยชน์อันใด เป็นเรื่องสิ้นเปลืองเปล่าๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องทำเสียแต่ต้นดีกว่า”

“มันเป็นเช่นนั้นหรือ” อาจารย์เซนเข้าใจดีมากขึ้น จึงกล่าวต่อไปอีกว่า
“เอาอย่างงี้ เดี๋ยวข้าจะหาเชือกให้สักเส้นก็แล้วกัน”
“ท่านจะเอาเชือกมาให้ข้าทำไมกัน?” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“ก็ให้เจ้าผูกคอตายไปเสียเลยอย่างไงล่ะ” อาจารย์เซนไขข้อสงสัย
ชายหนุ่มถามด้วยความขุ่นเคืองว่า “ท่านต้องการให้ข้าตายอย่างงั้นหรือ?”
อาจารย์เซนจึงอธิบายให้หายสงสัยว่า “มันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ?” หากว่ากันตามตรรกะความคิดของเจ้า ทุกคนต้องตายในท้ายที่สุดอยู่แล้วนี่ เมื่อเป็นเช่นนั้นชีวิตในปัจจุบันนี้ย่อมเปล่าประโยชน์ เมื่อเปล่าประโยชน์ ทำไมไม่ตายเสียแต่ตอนนี้เลยเล่า?”

ในชีวิตย่อมไม่มีสิ่งใดที่ไร้ประโยชน์ หากจะมีคงมีเพียงการไม่ทำสิ่งใดเลยเท่านั้นเอง

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. ขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาค สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น. พระธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑ ๒. เรื่องมัฏฐกุณฑลี พระบรมศาสดา ทรงปรารภมัฏฐกุณฑลี เป็นบุตรผู้เดียวของพราหมณ์ตระหนี่ผู้หนึ่ง พราหมณ์ผู้เป็นบิดา ได้กระทำกุณฑลเกลี้ยง ๆ เองให้ประดับ ด้วยความกลัวจะต้องเสียค่าบำเหน็จ เวลา บุตรเจ็บก็ไม่หาหมอรักษา ด้วยความกลัวจะต้องเสียค่าขวัญข้าว ครั้นเวลาใกล้จะแตกดับ พระศาสดาได้เสด็จไป ทรงเปล่งพระโอภาสรัศมีให้มัฏฐกุณฑลีเห็น เธอก็เกิดปสาทะความเลื่อมใส กระทำกาลกิริยาลงในขณะนั้น ไปเกิดในดาวดึงสเทวโลก เห็นพราหมณ์ผู้บิดาเศร้าโศกนัก จึงลงมากระทำพราหมณ์นั้น ให้คลายจากความเศร้าโศก ได้ความเลื่อมในในพระพุทธศาสนา แล้วกลับไปเทวโลกในวันรุ่งขึ้นพราหมณ์ได้เชิญเสด็จพระศาสดากับพระภิกษุสงฆ์ มากระทำภัตกิจที่เรือนตน แล้วทูลถามถึงการทำใจให้เลื่อมใสในพระองค์เท่านั้น ไม่ได้ทำกุศลอย่างอื่น ๆ อาจให้เกิดในสวรรค์ได้หรือ ในขณะนั้น พระองค์จึงทรงอธิษฐานให้มัฏฐกุณฑลีเทวบุตรมาแสดงเหตุผลให้ปรากฏเป็นพยานแก่ประชาชนในที่นั้น แล้วจึงตรัสพระคาถานี้ มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, ............ ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มโนเสฏฺฐา มโนมยา,................ มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ มนสา เจ ปสนฺเนน, ................ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว ภาสติ วา กโรติ วา,.......... พูดอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม( ก็ผ่องใส ) ตโต นํ สุขมเนฺวติ,...............เพราะความผ่องใสนั้น สุขย่อมตามผู้นั้นไป ฉายา ว อนุปายินี. ............ ดุจเงาตามตนไป ฉะนั้น.

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.
ขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาค สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.

พระธรรมบท
ยมกวรรคที่ ๑

๒. เรื่องมัฏฐกุณฑลี

พระบรมศาสดา ทรงปรารภมัฏฐกุณฑลี เป็นบุตรผู้เดียวของพราหมณ์ตระหนี่ผู้หนึ่ง พราหมณ์ผู้เป็นบิดา ได้กระทำกุณฑลเกลี้ยง ๆ เองให้ประดับ ด้วยความกลัวจะต้องเสียค่าบำเหน็จ เวลา
บุตรเจ็บก็ไม่หาหมอรักษา ด้วยความกลัวจะต้องเสียค่าขวัญข้าว ครั้นเวลาใกล้จะแตกดับ พระศาสดาได้เสด็จไป ทรงเปล่งพระโอภาสรัศมีให้มัฏฐกุณฑลีเห็น เธอก็เกิดปสาทะความเลื่อมใส กระทำกาลกิริยาลงในขณะนั้น ไปเกิดในดาวดึงสเทวโลก เห็นพราหมณ์ผู้บิดาเศร้าโศกนัก จึงลงมากระทำพราหมณ์นั้น ให้คลายจากความเศร้าโศก ได้ความเลื่อมในในพระพุทธศาสนา แล้วกลับไปเทวโลกในวันรุ่งขึ้นพราหมณ์ได้เชิญเสด็จพระศาสดากับพระภิกษุสงฆ์ มากระทำภัตกิจที่เรือนตน แล้วทูลถามถึงการทำใจให้เลื่อมใสในพระองค์เท่านั้น ไม่ได้ทำกุศลอย่างอื่น ๆ อาจให้เกิดในสวรรค์ได้หรือ ในขณะนั้น พระองค์จึงทรงอธิษฐานให้มัฏฐกุณฑลีเทวบุตรมาแสดงเหตุผลให้ปรากฏเป็นพยานแก่ประชาชนในที่นั้น แล้วจึงตรัสพระคาถานี้

มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, ............ ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า
มโนเสฏฺฐา มโนมยา,................ มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ
มนสา เจ ปสนฺเนน, ................ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว
ภาสติ วา กโรติ วา,.......... พูดอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม( ก็ผ่องใส )
ตโต นํ สุขมเนฺวติ,...............เพราะความผ่องใสนั้น สุขย่อมตามผู้นั้นไป
ฉายา ว อนุปายินี. ............ ดุจเงาตามตนไป ฉะนั้น.