วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559

นิทานธรรมะ เรื่อง เสื้อแห่งความสุข มีเรื่องเล่าว่า พระราชาองค์หนึ่ง ทรงวิตกกังวลต่อความมั่นคงแห่งราชสมบัติ ความวิตกนี้ได้กลายเป็นเรื่องติดแน่นฝังลึก ลุกลามเกาะกินจนเกิดความเครียด บรรทมไม่หลับ ทุกข์หนักถึงขั้นประชวร วันหนึ่งทรงได้รับคำแนะนำว่า ถ้าจะแก้ความทุกข์นี้ให้ได้ จะต้องเอาเสื้อของคนที่มีความสุขที่สุดมาสวมใส่ จึงรับสั่งให้อำมาตย์ผู้หนึ่งไปแสวงหาเสื้อดังกล่าวนั้น แต่ไม่ว่าจะไปขอยืมจากเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางผู้ใหญ่คนไหน ๆ ก็ได้คำตอบเหมือนกันว่า ตัวข้าพเจ้าแม้จะมีเงินทองและยศศักดิ์ถึงเพียงนี้แล้ว แต่ในชีวิตจริงก็หามีความสุขไม่ ในที่สุดก็จำต้องออกไปเสาะหาตามบ้านเรือนของราษฎร แต่คนทั้งหลายก็ตอบเหมือน ๆ กันอีกว่า ชีวิตนี้ยังไม่เคยมีความสุขจริง ๆ สักที อำมาตย์เริ่มท้อใจไม่คิดว่าคนมีความสุขจะหาได้ยากอย่างนี้ คงจะไม่ได้เสื้อที่ต้องการเป็นแน่ วันหนึ่ง ขณะที่อำมาตย์พาคณะไปสำรวจถึงนอกกำแพงเมือง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคนร้องตะโกนมาจากที่ไกลว่า "มีความสุขเหลือเกิน มีความสุขเหลือเกิน" จึงสั่งให้ทหารรับใช้วิ่งไปทางเสียงนั้นพร้อมกำชับว่า ให้เอาเสื้อของมันมาให้ได้ ครู่เดียวทหารผู้นั้นก็วิ่งกลับมามือเปล่า แล้วรายงานว่า คนที่ตะโกนว่า มีความสุขเหลือเกิน นั้น ที่แท้เป็นขอทาน อำมาตย์ผู้เป็นหัวหน้าคิดว่าถึงเป็นเสื้อขอทานก็ต้องเอามาให้ได้ แล้วออกวิ่งไปยังที่นั้น แต่พอไปถึงก็ต้องยืนงงทำอะไรไม่ถูก เพราะขอทานผู้นั้นไม่มีแม้แต่เสื้อจะใส่ แต่ที่มีความสุขถึงกับตะโกนออกไปก็เพราะวันนี้มีผู้ใจบุญให้อาหารกินอย่างดีจนอิ่มหนำสำราญเท่านั้นเอง สำหรับมนุษย์ปุถุชนอย่างเรานี้ ยศศักดิ์ก็หมายปอง เงินทองก็จำเป็น จึงไม่มีเลยที่ไม่ไขว่คว้า เมื่อวิถีชีวิตเกี่ยวพันหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเหล่านี้นานเข้าก็กลายเป็นความเคยชินติดแน่น พอเอ่ยถึงความสุข ความนึกคิดก็แล่นไปที่เงินทองยศศักดิ์ก่อนอย่างอื่น ทำให้ลืมไปว่า ต่อให้มีสิ่งที่ต้องการครบถ้วนสารพัด ชีวิตก็หามีความสุขไม่ ถ้าไม่มีอีกสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง สิ่งนั้นคือคำว่า "พอ"

นิทานธรรมะ เรื่อง เสื้อแห่งความสุข

       มีเรื่องเล่าว่า พระราชาองค์หนึ่ง ทรงวิตกกังวลต่อความมั่นคงแห่งราชสมบัติ ความวิตกนี้ได้กลายเป็นเรื่องติดแน่นฝังลึก ลุกลามเกาะกินจนเกิดความเครียด บรรทมไม่หลับ ทุกข์หนักถึงขั้นประชวร วันหนึ่งทรงได้รับคำแนะนำว่า ถ้าจะแก้ความทุกข์นี้ให้ได้ จะต้องเอาเสื้อของคนที่มีความสุขที่สุดมาสวมใส่ จึงรับสั่งให้อำมาตย์ผู้หนึ่งไปแสวงหาเสื้อดังกล่าวนั้น แต่ไม่ว่าจะไปขอยืมจากเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางผู้ใหญ่คนไหน ๆ ก็ได้คำตอบเหมือนกันว่า ตัวข้าพเจ้าแม้จะมีเงินทองและยศศักดิ์ถึงเพียงนี้แล้ว แต่ในชีวิตจริงก็หามีความสุขไม่ ในที่สุดก็จำต้องออกไปเสาะหาตามบ้านเรือนของราษฎร แต่คนทั้งหลายก็ตอบเหมือน ๆ กันอีกว่า ชีวิตนี้ยังไม่เคยมีความสุขจริง ๆ สักที อำมาตย์เริ่มท้อใจไม่คิดว่าคนมีความสุขจะหาได้ยากอย่างนี้ คงจะไม่ได้เสื้อที่ต้องการเป็นแน่
วันหนึ่ง ขณะที่อำมาตย์พาคณะไปสำรวจถึงนอกกำแพงเมือง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคนร้องตะโกนมาจากที่ไกลว่า "มีความสุขเหลือเกิน มีความสุขเหลือเกิน"
จึงสั่งให้ทหารรับใช้วิ่งไปทางเสียงนั้นพร้อมกำชับว่า ให้เอาเสื้อของมันมาให้ได้ ครู่เดียวทหารผู้นั้นก็วิ่งกลับมามือเปล่า แล้วรายงานว่า คนที่ตะโกนว่า มีความสุขเหลือเกิน นั้น ที่แท้เป็นขอทาน อำมาตย์ผู้เป็นหัวหน้าคิดว่าถึงเป็นเสื้อขอทานก็ต้องเอามาให้ได้ แล้วออกวิ่งไปยังที่นั้น แต่พอไปถึงก็ต้องยืนงงทำอะไรไม่ถูก เพราะขอทานผู้นั้นไม่มีแม้แต่เสื้อจะใส่ แต่ที่มีความสุขถึงกับตะโกนออกไปก็เพราะวันนี้มีผู้ใจบุญให้อาหารกินอย่างดีจนอิ่มหนำสำราญเท่านั้นเอง

สำหรับมนุษย์ปุถุชนอย่างเรานี้ ยศศักดิ์ก็หมายปอง เงินทองก็จำเป็น จึงไม่มีเลยที่ไม่ไขว่คว้า เมื่อวิถีชีวิตเกี่ยวพันหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเหล่านี้นานเข้าก็กลายเป็นความเคยชินติดแน่น พอเอ่ยถึงความสุข ความนึกคิดก็แล่นไปที่เงินทองยศศักดิ์ก่อนอย่างอื่น ทำให้ลืมไปว่า ต่อให้มีสิ่งที่ต้องการครบถ้วนสารพัด ชีวิตก็หามีความสุขไม่ ถ้าไม่มีอีกสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง สิ่งนั้นคือคำว่า "พอ"

#ขาว กับ ดำ? นิทานเรื่องนี้เล่าต่อกันมานานแล้ว : เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา เป็นกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว เศรษฐีบอกชาวนาว่า “ท่านเป็นหนี้ข้าจำนวนหนึ่ง แต่หากท่านยกลูกสาวให้ ข้าจะยกหนีสินให้ทั้งหมด” ชาวนาไม่ตกลง เศรษฐีบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาใส่ในถุงผ้านี้ ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว ให้ลูกสาวของท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้ หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้องแต่งงานกับข้า และแน่นอนข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย”ชาวนาตกลงเศรษฐีหยิบกรวดสองก้นใส่ในถุงผ้า หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่า กรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำเธอจะทำอย่างไร? หากเธอไม่เปิดเผยความจริง ก็ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง หากเธอเปิดเผยความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้ แต่บิดาของเธอก็ยังคงเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน ลูกสาวชาวนาเอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน พลันเธอปล่อยกรวดในมือร่วงลงสู่พื้น กลืนหายไปในสีดำและสีขาวของสวนกรวด เธอมองหน้าเศรษฐี เอ่ยว่า “ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอปล่อยหินร่วงหล่น แต่ไม่เป็นไรในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละหนึ่งก้อนลงไปในถุงนี้ ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออกดูกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่ากรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร” ที่ก้นถุงเป็นกรวดสีดำ “…ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว” ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้ และลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้นเราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้อย่างขาวกับดำเสมอไป ในทางตรงกันข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบหนทางการแก้ปัญหามีมากกว่าหนึ่งสายเสมอ และการยืดหยุ่นพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่งโลกไม่มีสีขาวกับดำ Credit : http://www.kwamru.com/

#ขาว กับ ดำ?

นิทานเรื่องนี้เล่าต่อกันมานานแล้ว :
เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา
เป็นกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว
เศรษฐีบอกชาวนาว่า “ท่านเป็นหนี้ข้าจำนวนหนึ่ง แต่หากท่านยกลูกสาวให้ ข้าจะยกหนีสินให้ทั้งหมด” ชาวนาไม่ตกลง
เศรษฐีบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาใส่ในถุงผ้านี้ ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว
ให้ลูกสาวของท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้ หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน
และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้องแต่งงานกับข้า
และแน่นอนข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย”ชาวนาตกลงเศรษฐีหยิบกรวดสองก้นใส่ในถุงผ้า หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่า
กรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำเธอจะทำอย่างไร?
หากเธอไม่เปิดเผยความจริง ก็ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง หากเธอเปิดเผยความจริง
เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้ แต่บิดาของเธอก็ยังคงเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน
ลูกสาวชาวนาเอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน
พลันเธอปล่อยกรวดในมือร่วงลงสู่พื้น กลืนหายไปในสีดำและสีขาวของสวนกรวด
เธอมองหน้าเศรษฐี เอ่ยว่า “ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอปล่อยหินร่วงหล่น
แต่ไม่เป็นไรในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละหนึ่งก้อนลงไปในถุงนี้
ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออกดูกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่ากรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร”
ที่ก้นถุงเป็นกรวดสีดำ “…ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว”
ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้ และลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้นเราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ
แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้อย่างขาวกับดำเสมอไป
ในทางตรงกันข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบหนทางการแก้ปัญหามีมากกว่าหนึ่งสายเสมอ
และการยืดหยุ่นพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่งโลกไม่มีสีขาวกับดำ

Credit : http://www.kwamru.com/

นิทานสอนใจ : ความปรารถนาของเมล็ดพืช นกตัวหนึ่งคาบเมล็ดพืชบินผ่านป่าใหญ่ ระหว่างทางเมล็ดพืชน้อยสองเมล็ด ก็ร่วงตกลงสู่พื้นดิน พื้นดินอ่อนนุ่มช่างอบอุ่น และสบายกว่าปากแหลมคมของนกตัวนั้นเป็นไหนๆ เมล็ดพืชที่หนึ่ง จึงเอ่ยทักเมล็ดพืชที่สองอย่างอารมณ์ดีว่า เมล็ดพืชที่หนึ่ง : สวัสดีจ้ะ เธอยังสบายดีอยู่ไหม เมล็ดพืชที่สอง : อื้ม ก็ดีกว่าตอนอยู่ในปาก ของนกตัวนั้นล่ะนะ เมล็ดพืชที่หนึ่ง : ฉันดีใจมากเลยที่ได้นอนอยู่บนดิน ร่วนซุยแบบนี้ ทั้งนุ่ม ทั้งอุ่น สบายตัวแท้ เมล็ดพืชที่สอง : ฉันเห็นด้วย เมล็ดพืชที่ไหน ก็ชอบดินแบบนี้ทั้งนั้นล่ะ เมล็ดพืชที่หนึ่ง : ดินแบบนี้เหมาะแก่การเจริญ เติบโตเป็นที่สุด เธอว่าไหม เมล็ดพืชที่สอง : ก็คงใช่ เมล็ดพืชที่หนึ่ง : ฉันอยากเจริญเติบโตเป็นต้นไม้ เร็วๆ จัง เมล็ดพืชที่สอง : ว้าย! ฉันไม่เอาด้วยหรอก ฉันไม่อยากโต ฉันอยากเป็น เมล็ดพืชไปวันๆ อย่างนี้แหละ เมล็ดพืชที่หนึ่ง : แต่การเปลี่ยนแปลงคือชีวิตนะ เราเป็นสิ่งมีชีวิต เราก็ต้องยอมรับ การเปลี่ยนแปลง เมล็ดพืชที่สอง : ไม่นะ ฉันจะไม่ยอมรับการ เปลี่ยนแปลง ฉันจะเป็นเมล็ดพืช อย่างนี้ตลอดไป ฉันกลัวการ เปลี่ยนแปลง เพราะมันทำให้เรา ต้องเจอ และเป็นในสิ่งที่เราไม่คุ้น เคยมาก่อน เมล็ดพืชที่หนึ่ง : อย่ากังวลไปเลยจ้ะ การเปลี่ยนแปลงของพวกเรา จะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพราะเราจะเจริญเติบโต ออกดอกออกผล งอกงามไปเรื่อยๆ เมล็ดพืชที่สอง : ไม่จริงหรอก เธอลองคิดดูสิ ถ้าเราต้องเติบโตไปเป็นต้นไม้ จริงๆ รากของเราก็จะติดหนึบอยู่ ในความมืดมนของชั้นดิน ส่วนด้านบนซึ่งเป็นกิ่งก้าน และ ลำต้นของเราก็จะถูกกระหน่ำ ด้วยพายุ แล้วอย่างนี้ ฉันจะอยู่ได้ อย่างไรล่ะ..อยู่ไม่ได้หรอก เมล็ดพืชที่หนึ่ง : เชื่อสิจ๊ะว่าเราจะผ่านมันไปได้ และสิ่งเหล่านั้นก็จะทำให้เรา เข้มแข็งขึ้นกว่าเดิมนะ เมล็ดพืชที่สอง : ไม่เอา! ถ้าเธออยากโตเป็นต้นไม้ ก็เชิญเป็นไปคนเดียวเลย ฉันไม่เอากับเธอด้วยหรอก เมล็ดพืชที่หนึ่งเห็นว่าป่วยการที่จะโน้มน้าวความคิด ของเมล็ดพืชที่สอง เมล็ดพืชที่หนึ่งจึงหยุดพูด และเฝ้าคอยเวลาที่ตนเองจะได้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ ด้วยความตื่นเต้นทุกวัน เวลาผ่านไป เมล็ดพืชที่หนึ่งก็เปลี่ยนแปลงจากเมล็ด พืชเล็กๆ กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขา ให้ร่มเงาแก่สัตว์น้อยใหญ่ในป่าแห่งนั้น มันมีความสุขมากที่ได้เติบโต และมองเห็นสิ่งต่างๆ ในฐานะของต้นไม้ใหญ่ ส่วนเมล็ดพืชผู้ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงก็ยังคงเป็นเมล็ดพืชเหมือนเดิม วันหนึ่งมีไก่ป่าตัวหนึ่งเดินผ่านมาเห็นเมล็ดพืชที่สอง มันจึงตรงเข้าไปจิกเมล็ดพืชที่สองกินเป็นอาหารจนอิ่มท้อง บทสรุปของผู้แต่ง การเปลี่ยนแปลงเป็นกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งมีทั้งเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นและเลวลง แต่เราจะต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ ไม่ว่าการเปลี่ยนแแปลงนั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม เพราะถ้าเรายอมรับได้ แม้จะต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงที่เลวลง เราก็ยังพร้อมที่จะสู้เพื่อพบกับการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่คนที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และปฏิเสธที่จะพบสิ่งใหม่ๆ ครั้นพบปัญหาก็ไม่รู้จะเดินไปทางไหน จึงถอดใจโดยง่าย และต้องพบกับทางตันของชีวิตอย่างรวดเร็ว เราคงปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก เพราะการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะถ้าเป็นเด็กด้วยแล้ว ยังมีเวลาอีกกว่าทั้งชีวิตที่ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางที่ดี อย่ากังวลไปเลยว่าเราจะต้องพบอะไรบ้าง แต่ขอให้รู้ว่าประสบการณ์ทุกอย่างจะสอนให้มีชีวิตที่เข้มแข็ง จงเติบใหญ่อย่างมั่นใจและกล้าหาญเพื่อวันวสวยงามที่รออยู่ข้างหน้าเถิด Cr. ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

นิทานสอนใจ : ความปรารถนาของเมล็ดพืช

        นกตัวหนึ่งคาบเมล็ดพืชบินผ่านป่าใหญ่
ระหว่างทางเมล็ดพืชน้อยสองเมล็ด
ก็ร่วงตกลงสู่พื้นดิน
      
       พื้นดินอ่อนนุ่มช่างอบอุ่น และสบายกว่าปากแหลมคมของนกตัวนั้นเป็นไหนๆ เมล็ดพืชที่หนึ่ง
จึงเอ่ยทักเมล็ดพืชที่สองอย่างอารมณ์ดีว่า
      
       เมล็ดพืชที่หนึ่ง : สวัสดีจ้ะ เธอยังสบายดีอยู่ไหม
      
       เมล็ดพืชที่สอง : อื้ม ก็ดีกว่าตอนอยู่ในปาก
                                    ของนกตัวนั้นล่ะนะ
      
       เมล็ดพืชที่หนึ่ง : ฉันดีใจมากเลยที่ได้นอนอยู่บนดิน
                                    ร่วนซุยแบบนี้ ทั้งนุ่ม ทั้งอุ่น
                                    สบายตัวแท้
      
       เมล็ดพืชที่สอง : ฉันเห็นด้วย เมล็ดพืชที่ไหน
                                    ก็ชอบดินแบบนี้ทั้งนั้นล่ะ
      
       เมล็ดพืชที่หนึ่ง : ดินแบบนี้เหมาะแก่การเจริญ
                                   เติบโตเป็นที่สุด เธอว่าไหม
      
       เมล็ดพืชที่สอง : ก็คงใช่
      
       เมล็ดพืชที่หนึ่ง : ฉันอยากเจริญเติบโตเป็นต้นไม้
                                    เร็วๆ จัง
      
       เมล็ดพืชที่สอง : ว้าย! ฉันไม่เอาด้วยหรอก
                                    ฉันไม่อยากโต ฉันอยากเป็น
                                    เมล็ดพืชไปวันๆ อย่างนี้แหละ
      
       เมล็ดพืชที่หนึ่ง : แต่การเปลี่ยนแปลงคือชีวิตนะ
                                   เราเป็นสิ่งมีชีวิต เราก็ต้องยอมรับ
                                   การเปลี่ยนแปลง
      
       เมล็ดพืชที่สอง : ไม่นะ ฉันจะไม่ยอมรับการ
                                   เปลี่ยนแปลง ฉันจะเป็นเมล็ดพืช
                                   อย่างนี้ตลอดไป ฉันกลัวการ
                                   เปลี่ยนแปลง เพราะมันทำให้เรา
                                   ต้องเจอ และเป็นในสิ่งที่เราไม่คุ้น
                                  เคยมาก่อน
      
       เมล็ดพืชที่หนึ่ง : อย่ากังวลไปเลยจ้ะ
                                   การเปลี่ยนแปลงของพวกเรา
                                   จะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
                                  เพราะเราจะเจริญเติบโต
                                  ออกดอกออกผล
                                  งอกงามไปเรื่อยๆ
      
       เมล็ดพืชที่สอง : ไม่จริงหรอก เธอลองคิดดูสิ
                                   ถ้าเราต้องเติบโตไปเป็นต้นไม้
                                   จริงๆ รากของเราก็จะติดหนึบอยู่ 
                                   ในความมืดมนของชั้นดิน
                                   ส่วนด้านบนซึ่งเป็นกิ่งก้าน และ     
                                   ลำต้นของเราก็จะถูกกระหน่ำ 
                                  ด้วยพายุ แล้วอย่างนี้ ฉันจะอยู่ได้
                                  อย่างไรล่ะ..อยู่ไม่ได้หรอก
      
       เมล็ดพืชที่หนึ่ง : เชื่อสิจ๊ะว่าเราจะผ่านมันไปได้
                                   และสิ่งเหล่านั้นก็จะทำให้เรา
                                   เข้มแข็งขึ้นกว่าเดิมนะ
       
       เมล็ดพืชที่สอง : ไม่เอา! ถ้าเธออยากโตเป็นต้นไม้ 
                                   ก็เชิญเป็นไปคนเดียวเลย
                                   ฉันไม่เอากับเธอด้วยหรอก
      
       เมล็ดพืชที่หนึ่งเห็นว่าป่วยการที่จะโน้มน้าวความคิด ของเมล็ดพืชที่สอง เมล็ดพืชที่หนึ่งจึงหยุดพูด
และเฝ้าคอยเวลาที่ตนเองจะได้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ ด้วยความตื่นเต้นทุกวัน
      
       เวลาผ่านไป เมล็ดพืชที่หนึ่งก็เปลี่ยนแปลงจากเมล็ด พืชเล็กๆ กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขา ให้ร่มเงาแก่สัตว์น้อยใหญ่ในป่าแห่งนั้น มันมีความสุขมากที่ได้เติบโต และมองเห็นสิ่งต่างๆ ในฐานะของต้นไม้ใหญ่
      
       ส่วนเมล็ดพืชผู้ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงก็ยังคงเป็นเมล็ดพืชเหมือนเดิม วันหนึ่งมีไก่ป่าตัวหนึ่งเดินผ่านมาเห็นเมล็ดพืชที่สอง มันจึงตรงเข้าไปจิกเมล็ดพืชที่สองกินเป็นอาหารจนอิ่มท้อง
      
       บทสรุปของผู้แต่ง
      
       การเปลี่ยนแปลงเป็นกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งมีทั้งเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นและเลวลง แต่เราจะต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ ไม่ว่าการเปลี่ยนแแปลงนั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม เพราะถ้าเรายอมรับได้ แม้จะต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงที่เลวลง เราก็ยังพร้อมที่จะสู้เพื่อพบกับการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่คนที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และปฏิเสธที่จะพบสิ่งใหม่ๆ ครั้นพบปัญหาก็ไม่รู้จะเดินไปทางไหน จึงถอดใจโดยง่าย และต้องพบกับทางตันของชีวิตอย่างรวดเร็ว
      
       เราคงปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก เพราะการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะถ้าเป็นเด็กด้วยแล้ว ยังมีเวลาอีกกว่าทั้งชีวิตที่ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางที่ดี อย่ากังวลไปเลยว่าเราจะต้องพบอะไรบ้าง แต่ขอให้รู้ว่าประสบการณ์ทุกอย่างจะสอนให้มีชีวิตที่เข้มแข็ง จงเติบใหญ่อย่างมั่นใจและกล้าหาญเพื่อวันวสวยงามที่รออยู่ข้างหน้าเถิด
      
Cr.  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

ปล่อยวาง โลกนี้เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ลูกศิษย์มากมายได้ไปเรียนถามอาจารย์เซ็น “ทำยังไงผมถึงจะหายกลัดกลุ้มครับ!” อาจารย์ตอบไปว่า “แค่คุณปล่อยวาง คุณก็ไม่กลัดกลุ้มอีกต่อไป” ชายคนหนึ่งถือดีว่าตนเองเป็นคนฉลาดรู้มาก ได้ยินอาจารย์ตอบอย่างนี้ก็ รู้สึกไม่ยอมรับ จึงเข้าไปถามหมายจะลองภูมิอาจารย์เซ็น “คนนับหมื่นนับพันคน ก็ย่อมมีความกลัดกลุ้มนับหมื่น นับพันอย่าง ท่านอาจารย์ตอบแต่ว่าให้ปล่อยวาง ปล่อยวาง มันไม่น่าขันดอกหรือครับ?” อาจารย์เซ็นไม่ได้โมโหศิษย์ผู้เย่อหยิ่งคนนี้ แต่กลับถามเขาไปว่า “เวลาคุณนอน คุณฝันบ้างไหม?” “แน่นอนสิครับ!” เขาตอบ “คุณฝันเหมือนกันในทุกคืนหรือเปล่า?” อาจารย์ถามต่อ “จะบ้าเหรอครับ คนเราจะฝันเหมือนกันทุกๆวัน ได้อย่างไร!” “คุณนอนมาเป็นหมื่นเป็นพันครั้ง และก็ฝันเป็นหมื่น เป็นพันเรื่อง” อาจารย์เซ็นพูดไปยิ้มไป “แต่วิธีการออกจากความฝันนั้นก็มีเพียงวิธีเดียว นั่นก็คือ ตื่น ” “........” ชายผู้อวดตนว่าฉลาดได้แต่อ้าปากค้าง ชะตาชีวิตเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่เมื่อเกิดมามีชีวิต แล้ว ใครก็หนีไม่พ้นจากชะตา และในเมื่อหนีจาก ชะตาชีวิตไปไม่พ้น ก็ต้องปล่อยวาง ไม่มีเรื่องใดที่วางไม่ได้มีแต่ทำใจไม่ได้ โชคดีที่ใจอยู่กับเรา เราคือผู้ควบคุมกล้าวาง ไหนเลยจะมีความกลัดกลุ้มอีก... Cr. นุสนธิ์บุคส์

ปล่อยวาง

โลกนี้เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ลูกศิษย์มากมายได้ไปเรียนถามอาจารย์เซ็น

“ทำยังไงผมถึงจะหายกลัดกลุ้มครับ!”

อาจารย์ตอบไปว่า

“แค่คุณปล่อยวาง คุณก็ไม่กลัดกลุ้มอีกต่อไป”

ชายคนหนึ่งถือดีว่าตนเองเป็นคนฉลาดรู้มาก ได้ยินอาจารย์ตอบอย่างนี้ก็ รู้สึกไม่ยอมรับ  จึงเข้าไปถามหมายจะลองภูมิอาจารย์เซ็น

“คนนับหมื่นนับพันคน ก็ย่อมมีความกลัดกลุ้มนับหมื่น นับพันอย่าง ท่านอาจารย์ตอบแต่ว่าให้ปล่อยวาง  ปล่อยวาง มันไม่น่าขันดอกหรือครับ?”

อาจารย์เซ็นไม่ได้โมโหศิษย์ผู้เย่อหยิ่งคนนี้ แต่กลับถามเขาไปว่า

“เวลาคุณนอน คุณฝันบ้างไหม?”

“แน่นอนสิครับ!”
เขาตอบ

“คุณฝันเหมือนกันในทุกคืนหรือเปล่า?”
อาจารย์ถามต่อ

“จะบ้าเหรอครับ คนเราจะฝันเหมือนกันทุกๆวัน ได้อย่างไร!”

“คุณนอนมาเป็นหมื่นเป็นพันครั้ง และก็ฝันเป็นหมื่น เป็นพันเรื่อง” อาจารย์เซ็นพูดไปยิ้มไป

“แต่วิธีการออกจากความฝันนั้นก็มีเพียงวิธีเดียว นั่นก็คือ ตื่น ”

“........”
ชายผู้อวดตนว่าฉลาดได้แต่อ้าปากค้าง

ชะตาชีวิตเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่เมื่อเกิดมามีชีวิต แล้ว ใครก็หนีไม่พ้นจากชะตา และในเมื่อหนีจาก ชะตาชีวิตไปไม่พ้น ก็ต้องปล่อยวาง ไม่มีเรื่องใดที่วางไม่ได้มีแต่ทำใจไม่ได้  โชคดีที่ใจอยู่กับเรา เราคือผู้ควบคุมกล้าวาง  ไหนเลยจะมีความกลัดกลุ้มอีก...

Cr. นุสนธิ์บุคส์

วันนี้เล่านิทานเรื่องนี้ให้เด็กๆฟัง จะเล่ากี่ครั้ง ก็สนุกเหมือนเดิมครับ " พ่อยอมแล้วลูก " นายดี...เป็นคนบ้านนอกบ้านนา เขาได้ตัดสินใจ ส่งลูกชายไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อยู่มาวันหนึ่ง นายดีได้ไปเยี่ยมลูกชาย ลูกชายก็ได้บอกพ่อว่า “ตอนนี้พ่อมาอยู่กับผมที่กรุงเทพฯ พ่อจะทำอะไรเหมือนตอนอยู่ที่บ้านเรา ไม่ได้นะพ่อเพื่อความแน่ใจ ถ้าพ่อเห็นผม ทำอะไร พ่อก็ทำตามผมก็แล้วกันนะ” มีอยู่วันหนึ่ง ลูกชายจำต้องไปงานเลี้ยง จึงได้ชวนนายดี พ่อของตนไปงานเลี้ยงด้วย นายดีแกทำอะไรไม่ค่อยจะถูก ก็เพราะว่าไม่เคยเข้างานสังคม แกจึงกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะกลัวว่า จะทำอะไรให้เป็นที่ขายหน้าให้แก่ลูกชาย ขณะที่นายดีกำลังนั่งรับประทานอาหาร อยู่ด้วยกัน นายดีก็พยายามดูการกระทำ ของลูกชายแกอยู่ตลอดเวลา ถ้าแกเห็นลูกชายของแกทำอะไร แกก็จะทำตาม ในเมนูแรกเขายกอ้อยควั่นมาเสิร์ฟ ลูกชายก็หยิบเอาอ้อยเข้าปาก นายดีก็ทำตามลูกชาย ต่างคนต่างกิน พอน้ำอ้อยหมดก็เหลือแต่กากอ้อย ทางฝ่ายลูกชายนั้นก็เอาผ้าเช็ดปาก มาปิดปากแล้วจึงค่อยคายกากอ้อยออกมา ในตอนนั้นนายดีไม่ทันได้สังเกตุ คิดว่าลูกชายแค่จะเช็ดปากเฉยๆ นายดีจึงไม่ได้คายกากอ้อยออกมา นายดีจึงเคี้ยวกากอ้อยต่อไปอยู่พักใหญ่ ก็ไม่เห็นลูกชายจะคายกากอ้อยออกมา แกจึงคิดในใจ “เอ..มันคายกากอ้อยออกมาตอนไหนกันหว่า ที่ใต้โต๊ะก็ไม่มี หรือมันจะกลืนลงท้องไปแล้วหว่า” คิดได้ดังนั้นแกจึงตัดสินใจว่า “เอา..กลืนก็กลืนวะ” เมื่อกลืนลงไปแล้วกากอ้อยก็ติดอยู่ในคอ นายดีจึงจำเป็นต้องดื่มน้ำตามเข้าไปมากๆ กว่ากากอ้อยจะหลุดลงคอลงไปได้ แกกินน้ำไปหลายแก้วทีเดียว อาหารเมนูต่อมาเขาก็นำขนมจีนมาเสิร์ฟ ฝ่ายลูกชายก็ตักขนมจีนมากิน นายดีก็ทำตามเช่นเคย ระหว่างที่กินกันอยู่นั้น ลูกชายก็บังเกิดความสงสัยขึ้นว่า ตอนที่พ่อกินอ้อยอยู่ พ่อเอากากไปทิ้งไว้ที่ไหน มองดูรอบบริเวณที่นายดีนั่งอยู่ ก็ไม่เห็นว่า มีกากอ้อยตกอยู่เลย ลูกชายจึงถามพ่อขึ้นมาว่า “พ่อ..ตอนที่พ่อกินอ้อยอยู่หนะ พ่อเอากากอ้อยไปท้งไว้ที่ไหน วางทิ้งไว้เรี่ยราดไม่ได้นะพ่อ” นายทองดีตอบลูกชายว่า “พ่อก็กลืนเข้าไปนะซิวะ เพราะพ่อไม่เห็น แกคายกากอ้อยออกมาเลยหนะซิ” พอลูกชายได้ยินดังนั้น ก็ขำขึ้นมาจนกลั้น เอาไว้ไม่อยู่ ก็เลยสำลักขนมจีนที่กินเข้าไป เส้นขนมจีนจึงออกมาทางจมูก นายดีเห็นดังนั้น จึงพูดขึ้นมาว่า “พ่อยอมแล้วลูก ที่ลูกทำแบบนี้ พ่อทำตามไม่ได้หรอก” นายดีกล่าวขึ้นพร้อมกับทั้งยกมือไหว้ ลูกชายของตน

วันนี้เล่านิทานเรื่องนี้ให้เด็กๆฟัง
จะเล่ากี่ครั้ง ก็สนุกเหมือนเดิมครับ

" พ่อยอมแล้วลูก "

นายดี...เป็นคนบ้านนอกบ้านนา เขาได้ตัดสินใจ
ส่งลูกชายไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ
อยู่มาวันหนึ่ง นายดีได้ไปเยี่ยมลูกชาย
ลูกชายก็ได้บอกพ่อว่า

“ตอนนี้พ่อมาอยู่กับผมที่กรุงเทพฯ
พ่อจะทำอะไรเหมือนตอนอยู่ที่บ้านเรา
ไม่ได้นะพ่อเพื่อความแน่ใจ ถ้าพ่อเห็นผม
ทำอะไร  พ่อก็ทำตามผมก็แล้วกันนะ”

มีอยู่วันหนึ่ง ลูกชายจำต้องไปงานเลี้ยง
จึงได้ชวนนายดี พ่อของตนไปงานเลี้ยงด้วย
นายดีแกทำอะไรไม่ค่อยจะถูก
ก็เพราะว่าไม่เคยเข้างานสังคม
แกจึงกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะกลัวว่า
จะทำอะไรให้เป็นที่ขายหน้าให้แก่ลูกชาย

ขณะที่นายดีกำลังนั่งรับประทานอาหาร
อยู่ด้วยกัน  นายดีก็พยายามดูการกระทำ
ของลูกชายแกอยู่ตลอดเวลา
ถ้าแกเห็นลูกชายของแกทำอะไร แกก็จะทำตาม ในเมนูแรกเขายกอ้อยควั่นมาเสิร์ฟ
ลูกชายก็หยิบเอาอ้อยเข้าปาก
นายดีก็ทำตามลูกชาย ต่างคนต่างกิน
พอน้ำอ้อยหมดก็เหลือแต่กากอ้อย
ทางฝ่ายลูกชายนั้นก็เอาผ้าเช็ดปาก
มาปิดปากแล้วจึงค่อยคายกากอ้อยออกมา
ในตอนนั้นนายดีไม่ทันได้สังเกตุ
คิดว่าลูกชายแค่จะเช็ดปากเฉยๆ
นายดีจึงไม่ได้คายกากอ้อยออกมา 
นายดีจึงเคี้ยวกากอ้อยต่อไปอยู่พักใหญ่
ก็ไม่เห็นลูกชายจะคายกากอ้อยออกมา
แกจึงคิดในใจ

“เอ..มันคายกากอ้อยออกมาตอนไหนกันหว่า
ที่ใต้โต๊ะก็ไม่มี หรือมันจะกลืนลงท้องไปแล้วหว่า”

คิดได้ดังนั้นแกจึงตัดสินใจว่า

“เอา..กลืนก็กลืนวะ”

เมื่อกลืนลงไปแล้วกากอ้อยก็ติดอยู่ในคอ
นายดีจึงจำเป็นต้องดื่มน้ำตามเข้าไปมากๆ
กว่ากากอ้อยจะหลุดลงคอลงไปได้
แกกินน้ำไปหลายแก้วทีเดียว

อาหารเมนูต่อมาเขาก็นำขนมจีนมาเสิร์ฟ
ฝ่ายลูกชายก็ตักขนมจีนมากิน
นายดีก็ทำตามเช่นเคย ระหว่างที่กินกันอยู่นั้น
ลูกชายก็บังเกิดความสงสัยขึ้นว่า
ตอนที่พ่อกินอ้อยอยู่ พ่อเอากากไปทิ้งไว้ที่ไหน
มองดูรอบบริเวณที่นายดีนั่งอยู่ ก็ไม่เห็นว่า
มีกากอ้อยตกอยู่เลย ลูกชายจึงถามพ่อขึ้นมาว่า

“พ่อ..ตอนที่พ่อกินอ้อยอยู่หนะ
พ่อเอากากอ้อยไปท้งไว้ที่ไหน
วางทิ้งไว้เรี่ยราดไม่ได้นะพ่อ”

นายทองดีตอบลูกชายว่า 

“พ่อก็กลืนเข้าไปนะซิวะ เพราะพ่อไม่เห็น
แกคายกากอ้อยออกมาเลยหนะซิ”

พอลูกชายได้ยินดังนั้น ก็ขำขึ้นมาจนกลั้น
เอาไว้ไม่อยู่  ก็เลยสำลักขนมจีนที่กินเข้าไป
เส้นขนมจีนจึงออกมาทางจมูก นายดีเห็นดังนั้น จึงพูดขึ้นมาว่า

“พ่อยอมแล้วลูก ที่ลูกทำแบบนี้
พ่อทำตามไม่ได้หรอก”

นายดีกล่าวขึ้นพร้อมกับทั้งยกมือไหว้
ลูกชายของตน

นิทานก่อนนอนคืนนี้....เสนอเรื่อง "ความคิดและความรู้" ยิ่งให้ออกไปเรายิ่งได้รับกลับมา ครั้งหนึ่ง...ในอเมริกากลาง ทุกๆ ปีจะมีการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพด หลังจากการประกวดชายผู้ที่ชนะเลิศที่หนึ่ง เขาทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือ ... ทันทีที่เขาชนะ เขาได้นำเมล็ดพันธ์ที่เพิ่งชนะการประกวด แจกให้กับผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันและกล่าวว่า เอาเมล็ดพันธ์นี้ไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่ ในปีต่อมา ... เขาก็ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพดอีก เขาเดินแจกเมล็ดพันธ์ที่เขาเพิ่งชนะให้กับคนอื่นๆ แล้วบอกว่า ... เอาไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่ ชายผู้นี้ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพด ติดต่อกัน 6 ครั้ง และเขาก็แจกเมล็ดพันธ์ที่ชนะ ให้ผู้แข่งขันคนอื่นๆ ทุกปี มีนักข่าวถามเขาว่า ... ไม่เป็นการง่ายกว่าหรือ ถ้าเขาเก็บเมล็ดพันธ์ที่ดี โดยไม่แบ่งคนอื่น เขาก็จะได้ชนะง่ายๆ ทุกปี เขาตอบว่า ... แสดงว่า ... คุณไม่เข้าใจในการปลูกพืช คุณเคยได้ยินคำว่า ... การกลายพันธ์ไหม ถ้าไร่ของผมมีเมล็ดพันธ์ที่ดี บังเอิญไร่ของเพื่อนบ้านมีแต่เมล็ดพันธ์ที่แย่ๆ วันหนึ่ง ลมก็จะพัดเอาเกสรของเมล็ดพันธ์ที่แย่ๆ มาตกในไร่ของผม ทำให้เมล็ดพันธ์ผมแย่ไปด้วย มันไม่เป็นการดีหรอกหรือ ... ที่ทุกคนมีเมล็ดพันธ์ที่ดีแล้ว ... ถึงตอนนั้นมาแข่งกันว่า ... ใครขยัน รดน้ำพรวนดินดีกว่ากัน ! มีคำกล่าวว่า ... ถ้าคุณมีเมล็ดพันธ์ความคิดที่ดี คุณเก็บไว้กับตัว ไม่แบ่งปันใคร ถึงวันหนึ่งเมล็ดพันธ์แห่งความคิดนั้น ก็จะตายไปพร้อมคุณ เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ที่ความคิดและความรู้ ยิ่งให้ออกไป เรายิ่งได้รับกลับมา และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนๆ นั้น ประสบความสำเร็จที่มากขึ้นไปพร้อมๆ กับ การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม Cr : kamsonbkk

นิทานก่อนนอนคืนนี้....เสนอเรื่อง

"ความคิดและความรู้"    ยิ่งให้ออกไปเรายิ่งได้รับกลับมา

ครั้งหนึ่ง...ในอเมริกากลาง
ทุกๆ ปีจะมีการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพด
หลังจากการประกวดชายผู้ที่ชนะเลิศที่หนึ่ง
เขาทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือ ...
ทันทีที่เขาชนะ
เขาได้นำเมล็ดพันธ์ที่เพิ่งชนะการประกวด
แจกให้กับผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันและกล่าวว่า
เอาเมล็ดพันธ์นี้ไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่

ในปีต่อมา ...
เขาก็ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพดอีก
เขาเดินแจกเมล็ดพันธ์ที่เขาเพิ่งชนะให้กับคนอื่นๆ
แล้วบอกว่า ...
เอาไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่
ชายผู้นี้ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพด
ติดต่อกัน 6 ครั้ง และเขาก็แจกเมล็ดพันธ์ที่ชนะ
ให้ผู้แข่งขันคนอื่นๆ ทุกปี

มีนักข่าวถามเขาว่า ...
ไม่เป็นการง่ายกว่าหรือ ถ้าเขาเก็บเมล็ดพันธ์ที่ดี
โดยไม่แบ่งคนอื่น เขาก็จะได้ชนะง่ายๆ ทุกปี
เขาตอบว่า ... แสดงว่า ...
คุณไม่เข้าใจในการปลูกพืช คุณเคยได้ยินคำว่า ...
การกลายพันธ์ไหม ถ้าไร่ของผมมีเมล็ดพันธ์ที่ดี
บังเอิญไร่ของเพื่อนบ้านมีแต่เมล็ดพันธ์ที่แย่ๆ
วันหนึ่ง ลมก็จะพัดเอาเกสรของเมล็ดพันธ์ที่แย่ๆ
มาตกในไร่ของผม ทำให้เมล็ดพันธ์ผมแย่ไปด้วย

มันไม่เป็นการดีหรอกหรือ ...
ที่ทุกคนมีเมล็ดพันธ์ที่ดีแล้ว ...
ถึงตอนนั้นมาแข่งกันว่า ...
ใครขยัน รดน้ำพรวนดินดีกว่ากัน !

มีคำกล่าวว่า ...
ถ้าคุณมีเมล็ดพันธ์ความคิดที่ดี คุณเก็บไว้กับตัว
ไม่แบ่งปันใคร ถึงวันหนึ่งเมล็ดพันธ์แห่งความคิดนั้น
ก็จะตายไปพร้อมคุณ
เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ที่ความคิดและความรู้
ยิ่งให้ออกไป เรายิ่งได้รับกลับมา
และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนๆ นั้น
ประสบความสำเร็จที่มากขึ้นไปพร้อมๆ กับ
การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม

Cr : kamsonbkk

นิทานเรื่อง จีนกับใบมะขาม โกย้งกับโกผงเป็นชาวจีนสองคนเพื่อนตาย ที่หาเช้ากินค่ำในเมืองจีน ชีวิตในหมู่บ้านของพวกเขาแร้นแค้นมาก ทั้งสองมักอดๆ อยากๆ วันหนึ่งโกย้งบอกโกผงว่า "เราทั้งสองจงเดินทางไปเมืองไทยเถิด ได้ยินคำร่ำลือว่า แผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว อุดมด้วยเรือกสวน พืชผักผลไม้บริบูรณ์" โกผงถามว่า "เราสองคนจะทำอะไรกิน" โกย้งตอบว่า "เรามีสองมือสองเท้า จะทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่เราขยันขันแข็ง มีหรือจะอดตายในแผ่นดินอุดมสมบูรณ์เช่นนั้น" ทั้งสองใช้เงินก้อนสุดท้ายเป็นค่าเดินทาง เรือสำเภาดั้นด้นฝ่าคลื่นลมจากเมืองจีนมาถึงจุดหมาย และขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของไทย โกย้งมองไปรอบตัว ยิ้มบอกว่า "เราไม่อดตายแล้ว ที่นี่เป็นสวรรค์โดยแท้" โกย้งกับโกผงตัดสินใจแยกทางกันไปทำมาหากิน เพราะเห็นว่าการแยกกันไปทำงานคนละอย่างจะเพิ่มโอกาสในการสร้างตัว ทั้งสองสัญญากันว่า หากใครประสบความสำเร็จก่อน จะช่วยเหลืออีกคน นัดหมายกันว่าอีกสองปีมาเจอกันที่ท่าเรือ เมื่อแยกทางกันแล้ว โกผงก็ทำงานจิปาถะตามสบาย เนื่องจากเมื่อไม่มีกิน ชาวบ้านก็มักเอื้อเฟื้อมอบอาหารให้ ผลหมากรากไม้ก็หาง่าย อีกทั้งอากาศทางภาคใต้ก็เย็นสบาย ฝนตกปรอยชุ่มชื้นเสมอ โกผงจึงใช้ชีวิตตามสบาย เมื่อได้เงินมาก็หยุดทำงานนอนเล่นไปวันๆ ใช้เงินหมดเมื่อใดค่อยตะเกียกตะกายไปหางานทำ เวลาผ่านไปสองปี โกผงก็ยังมีสภาพยากจนเช่นเมื่อสองปีก่อน โกผงเดินทางไปที่จุดนัดพบ เขาเห็นโกย้งในสภาพที่ไม่เหมือนเดิม โกย้งกลายเป็นเศรษฐี นั่งรถม้า มีคนขับรถ คนรับใช้หลายคนคอยปรนนิบัติ โกย้งเล่าว่า เมื่อแยกทางมา เขาก็ทำงานทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงงอน เก็บหอมรอมริบอย่างอดทนจนได้เงินก้อนหนึ่ง นำไปลงทุนซื้อสวนใหญ่ปลูกมะขามและผลไม้อื่นๆ กิจการดีขึ้นตามลำดับ เมื่อรู้ว่าเพื่อนของตนไม่มีงานทำ โกย้งก็บอกให้โกผงไปทำงานกับตน โกผงทำงานที่ใหม่ นอกจากไม่ได้เปลี่ยนนิสัยทำงานวันหยุดสองวันแล้ว ยังแย่กว่าเดิม หยุดงานนานครั้งละหลายๆ วัน เมื่อโกย้งถามว่าทำไมเขาไม่ทำงาน โกผงตอบว่า "แกรวยแล้ว ทำไมต้องทำงานหนักอีก ไม่จำเป็นต้องทำงานก็อยู่สบายไปตลอดชีวิตได้" โกย้งสังเกตเห็นเพื่อนของตนเปลี่ยนไปเช่นนั้น ก็มิได้ว่ากล่าวแต่ประการใด บอกเพื่อนว่า "ถ้าเช่นนั้น ฉันจะให้แกไปทำงานง่ายๆ" โกผงถามว่า "งานอะไร" "รูดใบมะขามออกจากต้น เริ่มจากต้นเล็กก่อน" โกผงรับปากด้วยความยินดีที่ได้ทำงานเบาสบายกว่าเดิม โกผงรูดใบมะขามออกหมดต้นในสองสามวัน ไม่นานต้นมะขามนั้นก็เฉาตาย โกผงรูดใบไม้จากต้นใหม่ต่อไป ครั้งนี้ใช้เวลารูดนานขึ้นเป็นอาทิตย์ เพราะเป็นต้นขนาดกลาง มะขามต้นนั้นไม่ตาย แต่ก็ใช้เวลาฟื้นตัวนานหลายอาทิตย์ เมื่อรูดใบหมดต้น โกผงก็ไปรูดใบจากต้นมะขามใหญ่ ครั้งนี้กินเวลานานเป็นเดือนก็ไม่หมดสักที เพราะเมื่อรูดใบหมดไปส่วนหนึ่ง ต้นมะขามก็ผลิใบใหม่ออกมา โกผงรู้สึกเหนื่อยจึงนั่งพักที่โคนต้นมะขาม สายตามองดูใบไม้ที่ถูกรูดร่วงโรยรายบนพื้น เขานั่งคิดว่า ทำไมจึงไม่สามารถรูดใบไม้ทั้งหมดลงมาได้ ทั้งๆ ที่สองต้นแรกใช้เวลาเพียงไม่นาน เขานึกถึงตัวเองที่ทำงานวันเว้นวัน เงินหมดอย่างรวดเร็ว คนที่ทำงานหนักได้เงินทองมาสะสมมากมาย ก็เหมือนมะขามใหญ่ รูดใบไม้ออกไปเท่าใดก็ไม่มีวันหมด ส่วนคนที่ขี้เกียจทำงานเช่นเขา มีเงินทองเล็กน้อย รูดใบไม้ไม่กี่วันก็หมดเกลี้ยง ไม่นานก็เฉาตายไป เขารู้แล้วว่าโกย้งมอบงานนี้ให้เขาทำเพื่อให้เขารู้จักคิด เขารู้สึกละอายใจ โกผงกลับไปหาโกย้ง ขอทำงานที่ยากขึ้น คราวนี้เขาทำงานทุกวัน และไม่นานก็มีฐานะที่ร่ำรวย ยืนหยัดได้เหมือนมะขามใหญ่ต้นนั้น Cr. วินทร์ เลียววาริณ ตีพิมพ์ในสมุดบันทึกนิทานมูลนิธิเด็ก 2547

นิทานเรื่อง จีนกับใบมะขาม

โกย้งกับโกผงเป็นชาวจีนสองคนเพื่อนตาย
ที่หาเช้ากินค่ำในเมืองจีน ชีวิตในหมู่บ้านของพวกเขาแร้นแค้นมาก ทั้งสองมักอดๆ อยากๆ วันหนึ่งโกย้งบอกโกผงว่า "เราทั้งสองจงเดินทางไปเมืองไทยเถิด ได้ยินคำร่ำลือว่า แผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว อุดมด้วยเรือกสวน พืชผักผลไม้บริบูรณ์"

โกผงถามว่า "เราสองคนจะทำอะไรกิน"

โกย้งตอบว่า "เรามีสองมือสองเท้า จะทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่เราขยันขันแข็ง มีหรือจะอดตายในแผ่นดินอุดมสมบูรณ์เช่นนั้น"

ทั้งสองใช้เงินก้อนสุดท้ายเป็นค่าเดินทาง เรือสำเภาดั้นด้นฝ่าคลื่นลมจากเมืองจีนมาถึงจุดหมาย และขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของไทย

โกย้งมองไปรอบตัว ยิ้มบอกว่า "เราไม่อดตายแล้ว ที่นี่เป็นสวรรค์โดยแท้"

โกย้งกับโกผงตัดสินใจแยกทางกันไปทำมาหากิน เพราะเห็นว่าการแยกกันไปทำงานคนละอย่างจะเพิ่มโอกาสในการสร้างตัว ทั้งสองสัญญากันว่า หากใครประสบความสำเร็จก่อน จะช่วยเหลืออีกคน นัดหมายกันว่าอีกสองปีมาเจอกันที่ท่าเรือ

เมื่อแยกทางกันแล้ว โกผงก็ทำงานจิปาถะตามสบาย เนื่องจากเมื่อไม่มีกิน ชาวบ้านก็มักเอื้อเฟื้อมอบอาหารให้ ผลหมากรากไม้ก็หาง่าย อีกทั้งอากาศทางภาคใต้ก็เย็นสบาย ฝนตกปรอยชุ่มชื้นเสมอ โกผงจึงใช้ชีวิตตามสบาย เมื่อได้เงินมาก็หยุดทำงานนอนเล่นไปวันๆ ใช้เงินหมดเมื่อใดค่อยตะเกียกตะกายไปหางานทำ

เวลาผ่านไปสองปี โกผงก็ยังมีสภาพยากจนเช่นเมื่อสองปีก่อน โกผงเดินทางไปที่จุดนัดพบ เขาเห็นโกย้งในสภาพที่ไม่เหมือนเดิม โกย้งกลายเป็นเศรษฐี นั่งรถม้า มีคนขับรถ คนรับใช้หลายคนคอยปรนนิบัติ

โกย้งเล่าว่า เมื่อแยกทางมา เขาก็ทำงานทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงงอน เก็บหอมรอมริบอย่างอดทนจนได้เงินก้อนหนึ่ง นำไปลงทุนซื้อสวนใหญ่ปลูกมะขามและผลไม้อื่นๆ กิจการดีขึ้นตามลำดับ

เมื่อรู้ว่าเพื่อนของตนไม่มีงานทำ โกย้งก็บอกให้โกผงไปทำงานกับตน โกผงทำงานที่ใหม่ นอกจากไม่ได้เปลี่ยนนิสัยทำงานวันหยุดสองวันแล้ว ยังแย่กว่าเดิม หยุดงานนานครั้งละหลายๆ วัน

เมื่อโกย้งถามว่าทำไมเขาไม่ทำงาน โกผงตอบว่า "แกรวยแล้ว ทำไมต้องทำงานหนักอีก ไม่จำเป็นต้องทำงานก็อยู่สบายไปตลอดชีวิตได้"

โกย้งสังเกตเห็นเพื่อนของตนเปลี่ยนไปเช่นนั้น ก็มิได้ว่ากล่าวแต่ประการใด บอกเพื่อนว่า "ถ้าเช่นนั้น ฉันจะให้แกไปทำงานง่ายๆ"

โกผงถามว่า "งานอะไร"

"รูดใบมะขามออกจากต้น เริ่มจากต้นเล็กก่อน"

โกผงรับปากด้วยความยินดีที่ได้ทำงานเบาสบายกว่าเดิม โกผงรูดใบมะขามออกหมดต้นในสองสามวัน ไม่นานต้นมะขามนั้นก็เฉาตาย

โกผงรูดใบไม้จากต้นใหม่ต่อไป ครั้งนี้ใช้เวลารูดนานขึ้นเป็นอาทิตย์ เพราะเป็นต้นขนาดกลาง มะขามต้นนั้นไม่ตาย แต่ก็ใช้เวลาฟื้นตัวนานหลายอาทิตย์

เมื่อรูดใบหมดต้น โกผงก็ไปรูดใบจากต้นมะขามใหญ่ ครั้งนี้กินเวลานานเป็นเดือนก็ไม่หมดสักที เพราะเมื่อรูดใบหมดไปส่วนหนึ่ง ต้นมะขามก็ผลิใบใหม่ออกมา โกผงรู้สึกเหนื่อยจึงนั่งพักที่โคนต้นมะขาม สายตามองดูใบไม้ที่ถูกรูดร่วงโรยรายบนพื้น

เขานั่งคิดว่า ทำไมจึงไม่สามารถรูดใบไม้ทั้งหมดลงมาได้ ทั้งๆ ที่สองต้นแรกใช้เวลาเพียงไม่นาน เขานึกถึงตัวเองที่ทำงานวันเว้นวัน เงินหมดอย่างรวดเร็ว

คนที่ทำงานหนักได้เงินทองมาสะสมมากมาย ก็เหมือนมะขามใหญ่ รูดใบไม้ออกไปเท่าใดก็ไม่มีวันหมด ส่วนคนที่ขี้เกียจทำงานเช่นเขา มีเงินทองเล็กน้อย รูดใบไม้ไม่กี่วันก็หมดเกลี้ยง ไม่นานก็เฉาตายไป เขารู้แล้วว่าโกย้งมอบงานนี้ให้เขาทำเพื่อให้เขารู้จักคิด เขารู้สึกละอายใจ

โกผงกลับไปหาโกย้ง ขอทำงานที่ยากขึ้น คราวนี้เขาทำงานทุกวัน และไม่นานก็มีฐานะที่ร่ำรวย ยืนหยัดได้เหมือนมะขามใหญ่ต้นนั้น

Cr. วินทร์ เลียววาริณ

ตีพิมพ์ในสมุดบันทึกนิทานมูลนิธิเด็ก 2547