วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2560

นิทานเรือง.......ลูกเนรคุณ มียายแก่คนหนึ่งอยู่กินกับลูกชายและลูกสะใภ้ แก่มากแล้ว ทำอะไรก็ไม่ค่อยได้ ลูกสะใภ้จึงไม่ชอบเที่ยวด่าว่าแม่ยาย อย่างนั้นอย่างนี้ ในตอนที่รับประทานข้าวก็จะเอาน้ำที่อยู่ในบ่อ ใส่น้ำแกง ทำให้น้ำแกงจืดรับประทานไม่ได้ บางครั้งแกงเผ็ด จนเกินไป แต่ตอนที่ทำให้สามีรับประทานก็จะทำอาหารดี ๆ พอถึงเวลา ลูกชายกลับมาบ้าน แม่ก็บอกลูกชายว่าสะใภ้ทำแกง รับประทานไม่ได้ บางครั้งเผ็ด บางครั้งเค็ม บางครั้งจืด ข้างฝ่าย ลูกเห็นว่าแม่พูดเรื่อย ๆ ก็หาว่าแม่แก่ปากเปียก เพราะแกงที่เมีย ทำไว้ให้สามีนั้นอร่อยดี ลูกชายก็โกรธจึงชวนกันสองคนสามีภรรยา เอาแม่ห่อเสื่อไว้ว่า จะพาไปเผาในป่าช้า พอถึงป่าช้าก็ลืมไม้ขีดไฟ และก็ใกล้ค่ำแล้วด้วย ฝ่ายสามีก็ใช้ภรรยาไปเอาไม้ขีดที่บ้าน ภรรยาก็ไม่กล้าไป สามีจะมา เอาเองภรรยาก็ไม่กล้าอยู่คนเดียว ก็เลยชวนกันกลับบ้าน ทั้งสองคนปล่อยให้แม่อยู่ในป่าช้า ฝ่ายแม่เมื่อลูกกลับไปบ้านแล้วก็ คลานออกจากเสื่อไปในป่า พอดีในป่านั้นก็มีโจรไปปล้นบ้านเขามา และนั่งแบ่งเงินกันอยู่ แต่ยายแก่ไม่รู้เรื่องว่าโจรปล้นเงินมา พอคลาน ไปถึงก็พูดขึ้นว่า “ไอ้คนเนรคุณ” โจรได้ยินก็ตกใจหนีหมด ทิ้งเงินไว้ มากมายยายแก่ก็เก็บเงินนั้นแล้วก็พาไปบ้าน ฝ่ายลูกเห็นแม่พาเงินมามากก็พูดว่า เราทิ้งแม่ไว้ในป่าช้า แม่ได้เงิน มากมาย แต่แม่ก็ไม่ให้ใช้ ฝ่ายแม่ได้ยินก็บอกว่าเงินนั้นแม่ให้ทั้งหมด แต่ให้เอาเงินนั้นไปซื้อแม่มาให้คนหนึ่ง ซื้อแม่ใครก็ได้ที่เขาขาย ลูกชายก็พาเงินนั้นเดินไปทั่วทุกเมืองก็หาซื้อไม่ได้ก็เลยต้องกลับบ้าน แต่พอมาถึงบ้านแม่ก็บอกให้ลองไปหาซื้อเมียดูบ้าง พอให้ไปหาซื้อ เมียมาก็ปรากฏว่าซื้อได้ นี่แหละเขาว่าซื้ออื่นซื้อได้แต่ซื้อแม่ซื้อไม่ได้ ฝ่ายเมียเมื่อเห็นว่าตนเองและสามีพาแม่ไปปล่อยในป่าช้าได้เงินมา มากมาย ก็ใช้สามีพาตนเองไปเผามั่ง สามีก็เอาเสื่อม้วนพาไปในป่าช้า และก็จุดไฟเผาภรรยา ภรรยาก็ถูกไฟคลอกตาย ข้อคิด : สอนให้ลูกรู้จักบุญคุณของพ่อแม่ และชี้ให้เห็นถึงผลการเนรคุณพ่อแม่

นิทานเรือง.......ลูกเนรคุณ

มียายแก่คนหนึ่งอยู่กินกับลูกชายและลูกสะใภ้ แก่มากแล้ว
ทำอะไรก็ไม่ค่อยได้ ลูกสะใภ้จึงไม่ชอบเที่ยวด่าว่าแม่ยาย
อย่างนั้นอย่างนี้ ในตอนที่รับประทานข้าวก็จะเอาน้ำที่อยู่ในบ่อ
ใส่น้ำแกง ทำให้น้ำแกงจืดรับประทานไม่ได้ บางครั้งแกงเผ็ด
จนเกินไป แต่ตอนที่ทำให้สามีรับประทานก็จะทำอาหารดี ๆ
พอถึงเวลา ลูกชายกลับมาบ้าน แม่ก็บอกลูกชายว่าสะใภ้ทำแกง
รับประทานไม่ได้ บางครั้งเผ็ด บางครั้งเค็ม บางครั้งจืด ข้างฝ่าย
ลูกเห็นว่าแม่พูดเรื่อย ๆ ก็หาว่าแม่แก่ปากเปียก เพราะแกงที่เมีย
ทำไว้ให้สามีนั้นอร่อยดี

ลูกชายก็โกรธจึงชวนกันสองคนสามีภรรยา เอาแม่ห่อเสื่อไว้ว่า
จะพาไปเผาในป่าช้า พอถึงป่าช้าก็ลืมไม้ขีดไฟ และก็ใกล้ค่ำแล้วด้วย
ฝ่ายสามีก็ใช้ภรรยาไปเอาไม้ขีดที่บ้าน ภรรยาก็ไม่กล้าไป สามีจะมา
เอาเองภรรยาก็ไม่กล้าอยู่คนเดียว ก็เลยชวนกันกลับบ้าน

ทั้งสองคนปล่อยให้แม่อยู่ในป่าช้า ฝ่ายแม่เมื่อลูกกลับไปบ้านแล้วก็
คลานออกจากเสื่อไปในป่า พอดีในป่านั้นก็มีโจรไปปล้นบ้านเขามา
และนั่งแบ่งเงินกันอยู่ แต่ยายแก่ไม่รู้เรื่องว่าโจรปล้นเงินมา พอคลาน
ไปถึงก็พูดขึ้นว่า “ไอ้คนเนรคุณ” โจรได้ยินก็ตกใจหนีหมด ทิ้งเงินไว้
มากมายยายแก่ก็เก็บเงินนั้นแล้วก็พาไปบ้าน

ฝ่ายลูกเห็นแม่พาเงินมามากก็พูดว่า เราทิ้งแม่ไว้ในป่าช้า แม่ได้เงิน
มากมาย แต่แม่ก็ไม่ให้ใช้ ฝ่ายแม่ได้ยินก็บอกว่าเงินนั้นแม่ให้ทั้งหมด
แต่ให้เอาเงินนั้นไปซื้อแม่มาให้คนหนึ่ง ซื้อแม่ใครก็ได้ที่เขาขาย
ลูกชายก็พาเงินนั้นเดินไปทั่วทุกเมืองก็หาซื้อไม่ได้ก็เลยต้องกลับบ้าน
แต่พอมาถึงบ้านแม่ก็บอกให้ลองไปหาซื้อเมียดูบ้าง พอให้ไปหาซื้อ
เมียมาก็ปรากฏว่าซื้อได้ นี่แหละเขาว่าซื้ออื่นซื้อได้แต่ซื้อแม่ซื้อไม่ได้

ฝ่ายเมียเมื่อเห็นว่าตนเองและสามีพาแม่ไปปล่อยในป่าช้าได้เงินมา
มากมาย ก็ใช้สามีพาตนเองไปเผามั่ง สามีก็เอาเสื่อม้วนพาไปในป่าช้า
และก็จุดไฟเผาภรรยา ภรรยาก็ถูกไฟคลอกตาย

ข้อคิด : สอนให้ลูกรู้จักบุญคุณของพ่อแม่ และชี้ให้เห็นถึงผลการเนรคุณพ่อแม่

วันพุธที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2560

วิธีการที่จะกลายเป็นเศรษฐี นานมาแล้ว มีชายหนุ่มแสนจะยากจนคนหนึ่ง กำพร้าตั้งแต่เล็ก วันหนึ่ง เขาไปไหว้ พระที่วัด คุกเข่าลงกับพื้น วิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ " สิ่งศักดิ์สิทธิ์ โปรดบอกแก่ข้าด้วย เถอะ ผมต้องทำอย่างไร จึงสามารถที่จะกลายเป็นเศรษฐีได้ " เนิ่นนาน..เขาก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งว่า " หากคิดที่จะเป็นเศรษฐี ต้องรู้ที่จะสำนึกคุณใน ชีวิต ให้ความสำคัญกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบกาย หวงแหนทะนุถนอนทุกสิ่งทุก อย่างที่มีอยู่ เช่นนี้แล้ว ก็จะสามารถเป็นเศรษฐีได้ ชายหนุ่มได้ฟังเช่นนั้น กระโดดโลดเต้นขึ้นมาด้วยความดีใจ " เรียบง่ายเช่นนี้ ? ผม ต้องพยายามทำให้สำเร็จจงได้ " เขารีบวิ่งออกจากวัด ไม่ทันระวัง สะดุดก้อนหินล้มลง กำลังที่จะคลานลุกขึ้นมา กลับ พบเห็นช็อคโกแลคชิ้นหนึ่ง และฟางข้าวต้นหนึ่ง เขานึกถึงคำสอนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงเก็บช็อคโกแลคและฟางข้าวขึ้นมา แล้วเดินหน้าต่อไป เดินไปได้สักพัก เขาเห็นตรงริมทาง มีคุณแม่ยังสาวกำลังปลอบเด็กคนหนึ่ง ที่ร้องไห้ ส่งเสียงดัง ไม่ว่านางจะปลอบอย่างไร เด็กก็ไม่ยอมที่จะหยุคร้อง ชายหนุ่มนึกถึงคำสอนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เลยนำช็อคโกแลคและฟางข้าวให้เด็ก อีกทั้ง พูดว่า " น้องชาย..อย่าร้องไห้อีกเลย ดูซิ เล่นฟางข้าวนี้สนุกออก " อาจจะเป็นเพราะเด็กเกิดความสนใจกับฟางข้าว เสียงร้องค่อยๆลดลง เริ่มหยิบฟาง ข้าวขึ้นมาเล่น อีกทั้งหยิบช็อคโกแลคเข้าปาก คุณแม่เห็นเด็กน้อยหยุคร้องไห้แล้ว ในใจรู้สึกซาบซึ้ง จึงหยิบซาลาเปาสามใบให้ชาย หนุ่ม ชายหนุ่มนึกเสียดายที่จะกินทันที จึงเก็บไว้แล้วเดินทางต่อไป เดินไปสักพัก ชายหนุ่มเห็นริมถนน มีชายคนหนึ่งและม้าตัวหนึ่งนอนอยู่ หายใจรวย ริน เขาเขย่าร่างชายผู้นั้น ชายผู้นั้นลืมตาขึ้น ที่แท้ ทั้งคนและม้าล้วนหิวโหย จนเป็น ลมล้มฟุบลง ชายหนุ่มนึกถึงคำสอนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เลยนำซาลาเปาสามใบนั้นให้ชายคนนั้นกิน อีกทั้งยังไปหาน้ำมาให้ดื่ม หลังจากชายผู้นั้น พละกำลังกลับคืนมาแล้ว พูดกับเขาว่า " น้องชาย ม้าตัวนี้ก็หิวจวน จะไม่รอดแล้ว ผมไม่สามารถดูแลมันต่อไปอีกแล้ว ขอมอบให้เธอแล้วกัน " ชายผู้นั้น พูดจบก็เดินจากไป ชายหนุ่มป้อนน้ำให้ม้าด้วยความอดทน หลังจากที่ม้าฟื้นแล้ว ก็หาหญ้ามาค่อยๆป้อน ให้มันกิน จนพละกำลังกลับคืนมา สามารถลุกขึ้นมาเดินได้ ชายหนุ่มจึงจูงม้าเดินทาง ต่อไป เมื่อเดินทางมาถึงหน้าบ้านคฤหาสน์หลังหนึ่ง ทันใดนั้น มีเศรษฐีท่านหนึ่ง ซึ่งแต่ง กายภูมิฐานวิ่งออกมา พูดกับชายหนุ่มว่า " หนุ่มน้อย เร็ว..เร็ว..โปรดยืมม้าให้ข้า ข้าจะ ต้องรีบไปจัดการเรื่องเร่งด่วนที่สำคัญมาก มันเป็นธุรกิจหลายร้อยล้าน " ไม่ทันรอให้ชายหนุ่มพูดอะไร ท่านเศรษฐีก็พูดต่อว่า " หากข้าไปแล้วไม่กลับมาอีก คฤหาสน์หลังใหญ่นี้ อีกทั้งทรัพย์สมบัติที่อยู่ภายใน ล้วนมอบให้แก่เจ้าทั้งหมด " พูด จบก็ควบม้าจากไป ไม่หันหัวกลับมาอีกเลย ท้ายสุด...ชายหนุ่มก็ได้กลายเป็น เจ้าของคฤหาสน์อีกทั้งทรัพย์สมบัติที่อยู่ภายใน ☆ เรื่องนี้..จุดประกายความคิดและ แรงบันดาลใจให้แก่พวกเราว่า.... * คนผู้หนึ่ง..คิดที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่พึ่งเพียงแต่ความใฝ่ฝัน และความคิด สิ่งที่สำคัญ คือต้องลงมือปฏิบัติกระทำจริงๆ รู้ที่จะให้ รู้ที่จะเป็นห่วงเป็นใย ผู้คนรอบข้างและเรื่องราวในรอบตัวเรา กุญแจชะตา ชีวิต กำอยู่ในมือเรา อย่าคิดแต่ว่า ผู้อื่นจะหยิบยื่นอะไรให้เรา * Niwat Rungvicha

วิธีการที่จะกลายเป็นเศรษฐี

นานมาแล้ว มีชายหนุ่มแสนจะยากจนคนหนึ่ง กำพร้าตั้งแต่เล็ก วันหนึ่ง เขาไปไหว้
พระที่วัด คุกเข่าลงกับพื้น วิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ " สิ่งศักดิ์สิทธิ์ โปรดบอกแก่ข้าด้วย
เถอะ ผมต้องทำอย่างไร จึงสามารถที่จะกลายเป็นเศรษฐีได้ "

เนิ่นนาน..เขาก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งว่า " หากคิดที่จะเป็นเศรษฐี ต้องรู้ที่จะสำนึกคุณใน
ชีวิต ให้ความสำคัญกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบกาย หวงแหนทะนุถนอนทุกสิ่งทุก
อย่างที่มีอยู่ เช่นนี้แล้ว ก็จะสามารถเป็นเศรษฐีได้

ชายหนุ่มได้ฟังเช่นนั้น กระโดดโลดเต้นขึ้นมาด้วยความดีใจ " เรียบง่ายเช่นนี้ ? ผม
ต้องพยายามทำให้สำเร็จจงได้ "

เขารีบวิ่งออกจากวัด ไม่ทันระวัง สะดุดก้อนหินล้มลง กำลังที่จะคลานลุกขึ้นมา กลับ
พบเห็นช็อคโกแลคชิ้นหนึ่ง และฟางข้าวต้นหนึ่ง เขานึกถึงคำสอนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
จึงเก็บช็อคโกแลคและฟางข้าวขึ้นมา แล้วเดินหน้าต่อไป

เดินไปได้สักพัก เขาเห็นตรงริมทาง มีคุณแม่ยังสาวกำลังปลอบเด็กคนหนึ่ง ที่ร้องไห้
ส่งเสียงดัง ไม่ว่านางจะปลอบอย่างไร เด็กก็ไม่ยอมที่จะหยุคร้อง

ชายหนุ่มนึกถึงคำสอนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เลยนำช็อคโกแลคและฟางข้าวให้เด็ก อีกทั้ง
พูดว่า " น้องชาย..อย่าร้องไห้อีกเลย ดูซิ เล่นฟางข้าวนี้สนุกออก "

อาจจะเป็นเพราะเด็กเกิดความสนใจกับฟางข้าว เสียงร้องค่อยๆลดลง เริ่มหยิบฟาง
ข้าวขึ้นมาเล่น อีกทั้งหยิบช็อคโกแลคเข้าปาก

คุณแม่เห็นเด็กน้อยหยุคร้องไห้แล้ว ในใจรู้สึกซาบซึ้ง จึงหยิบซาลาเปาสามใบให้ชาย
หนุ่ม ชายหนุ่มนึกเสียดายที่จะกินทันที จึงเก็บไว้แล้วเดินทางต่อไป

เดินไปสักพัก ชายหนุ่มเห็นริมถนน มีชายคนหนึ่งและม้าตัวหนึ่งนอนอยู่ หายใจรวย
ริน เขาเขย่าร่างชายผู้นั้น ชายผู้นั้นลืมตาขึ้น ที่แท้ ทั้งคนและม้าล้วนหิวโหย จนเป็น
ลมล้มฟุบลง

ชายหนุ่มนึกถึงคำสอนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เลยนำซาลาเปาสามใบนั้นให้ชายคนนั้นกิน
อีกทั้งยังไปหาน้ำมาให้ดื่ม

หลังจากชายผู้นั้น พละกำลังกลับคืนมาแล้ว พูดกับเขาว่า " น้องชาย ม้าตัวนี้ก็หิวจวน
จะไม่รอดแล้ว ผมไม่สามารถดูแลมันต่อไปอีกแล้ว ขอมอบให้เธอแล้วกัน " ชายผู้นั้น
พูดจบก็เดินจากไป

ชายหนุ่มป้อนน้ำให้ม้าด้วยความอดทน หลังจากที่ม้าฟื้นแล้ว ก็หาหญ้ามาค่อยๆป้อน
ให้มันกิน จนพละกำลังกลับคืนมา สามารถลุกขึ้นมาเดินได้ ชายหนุ่มจึงจูงม้าเดินทาง
ต่อไป

เมื่อเดินทางมาถึงหน้าบ้านคฤหาสน์หลังหนึ่ง ทันใดนั้น มีเศรษฐีท่านหนึ่ง ซึ่งแต่ง
กายภูมิฐานวิ่งออกมา พูดกับชายหนุ่มว่า " หนุ่มน้อย เร็ว..เร็ว..โปรดยืมม้าให้ข้า ข้าจะ
ต้องรีบไปจัดการเรื่องเร่งด่วนที่สำคัญมาก มันเป็นธุรกิจหลายร้อยล้าน "

ไม่ทันรอให้ชายหนุ่มพูดอะไร ท่านเศรษฐีก็พูดต่อว่า " หากข้าไปแล้วไม่กลับมาอีก
คฤหาสน์หลังใหญ่นี้ อีกทั้งทรัพย์สมบัติที่อยู่ภายใน ล้วนมอบให้แก่เจ้าทั้งหมด " พูด
จบก็ควบม้าจากไป ไม่หันหัวกลับมาอีกเลย

ท้ายสุด...ชายหนุ่มก็ได้กลายเป็น เจ้าของคฤหาสน์อีกทั้งทรัพย์สมบัติที่อยู่ภายใน

☆ เรื่องนี้..จุดประกายความคิดและ แรงบันดาลใจให้แก่พวกเราว่า....

* คนผู้หนึ่ง..คิดที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่พึ่งเพียงแต่ความใฝ่ฝัน และความคิด
สิ่งที่สำคัญ คือต้องลงมือปฏิบัติกระทำจริงๆ

รู้ที่จะให้ รู้ที่จะเป็นห่วงเป็นใย ผู้คนรอบข้างและเรื่องราวในรอบตัวเรา กุญแจชะตา
ชีวิต กำอยู่ในมือเรา อย่าคิดแต่ว่า ผู้อื่นจะหยิบยื่นอะไรให้เรา *

Niwat Rungvicha

อำนาจของกระดาษหนึ่งแผ่น ท่านผู้ว่าฯถูกติดคุกด้วยข้อหาคอรัปชั่น ลูกชายเรียนจบแล้วหางานทำไม่ได้ ไปเยี่ยมพ่อในคุก พร้อมบ่นให้พ่อฟัง พ่อเขียนข้อความใส่ในกระดาษ แล้วยื่นให้ลูก บอกให้ลูกนำกระดาษแผ่นนี้ไปหาอดีตลูกน้องพ่อ แล้วจะได้รับการช่วยเหลือเรื่องหางาน ลูกชายรู้สึกลังเล ถามพ่อว่า ตอนนี้พ่อก็ไม่มีหัวโขนใส่แล้ว คิดว่ายังจะมีใครให้ความช่วยเหลือเหรอ พ่อตอบว่า ใจเย็นไว้ ลูกข้า ตอนพ่ออยู่ในตำแหน่ง จะให้ใครเลื่อนไปตำแหน่งไหน พ่อก็ทำได้ทั้งนั้น ตอนนี้พ่ออยู่ในคุก จะให้ใครเข้ามาอยู่ในคุกด้วยกัน พ่อก็ทำได้เหมือนกัน ไม่เชื่ออย่างลบหลู่ ข้อความบนกระดาษ ยังคงศักดิ์สิทธิ์เสมอ *********** คุณครูจะไปพักผ่อนต่างจังหวัดหลายวัน เกรงขโมยจะเข้าบ้านช่วงไม่มีใครอยู่ เลยวางเงินไว้บนโต๊ะกินข้าวสองร้อย พร้อมข้อความบนกระดาษว่า "อย่าเสียเวลากับบ้านนี้เลย บ้านเราไม่มีตังค์หรอก เงินสองร้อยนี่ถือเป็นค่ารถละกัน ข้างบ้านสิรวยจริง เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวง มีเงินซุกอยู่ในบ้านเยอะแยะ" พอคุณครูกลับจากพักผ่อน พบมีเงินวางอยู่บนโต๊ะสองแสน พร้อมข้อความสั้นๆบนกระดาษ "ขอบคุณสำหรับข้อมูล" "ขจรศักดิ์" แปลและเรียบเรียง 13/6/17 www.facebook.com/Flintlibrary

อำนาจของกระดาษหนึ่งแผ่น

ท่านผู้ว่าฯถูกติดคุกด้วยข้อหาคอรัปชั่น
ลูกชายเรียนจบแล้วหางานทำไม่ได้
ไปเยี่ยมพ่อในคุก พร้อมบ่นให้พ่อฟัง
พ่อเขียนข้อความใส่ในกระดาษ แล้วยื่นให้ลูก
บอกให้ลูกนำกระดาษแผ่นนี้ไปหาอดีตลูกน้องพ่อ
แล้วจะได้รับการช่วยเหลือเรื่องหางาน

ลูกชายรู้สึกลังเล ถามพ่อว่า
ตอนนี้พ่อก็ไม่มีหัวโขนใส่แล้ว
คิดว่ายังจะมีใครให้ความช่วยเหลือเหรอ

พ่อตอบว่า ใจเย็นไว้ ลูกข้า
ตอนพ่ออยู่ในตำแหน่ง
จะให้ใครเลื่อนไปตำแหน่งไหน
พ่อก็ทำได้ทั้งนั้น
ตอนนี้พ่ออยู่ในคุก
จะให้ใครเข้ามาอยู่ในคุกด้วยกัน
พ่อก็ทำได้เหมือนกัน

ไม่เชื่ออย่างลบหลู่
ข้อความบนกระดาษ
ยังคงศักดิ์สิทธิ์เสมอ

***********

คุณครูจะไปพักผ่อนต่างจังหวัดหลายวัน
เกรงขโมยจะเข้าบ้านช่วงไม่มีใครอยู่
เลยวางเงินไว้บนโต๊ะกินข้าวสองร้อย
พร้อมข้อความบนกระดาษว่า

"อย่าเสียเวลากับบ้านนี้เลย
บ้านเราไม่มีตังค์หรอก
เงินสองร้อยนี่ถือเป็นค่ารถละกัน
ข้างบ้านสิรวยจริง
เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวง
มีเงินซุกอยู่ในบ้านเยอะแยะ"

พอคุณครูกลับจากพักผ่อน
พบมีเงินวางอยู่บนโต๊ะสองแสน
พร้อมข้อความสั้นๆบนกระดาษ

"ขอบคุณสำหรับข้อมูล"

"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
13/6/17
www.facebook.com/Flintlibrary

นกกระเรียนตอบแทนคุณ นานมาแล้ว มีชายหนุ่มยากจนคนหนึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมกลางป่าแต่เพียงผู้เดียว เขามีอาชีพตัดไม้และหาของป่า วันหนึ่งขณะที่ชายหนุ่มกำลังทำงานในฟาร์มของเขาอย่างขะมักเขม้น มีนกกระเรียนสีขาวตกลงมาแทบเท้า ชายหนุ่มเห็นว่าที่ปีกของนกกระเรียนมีลูกธนูปักอยู่ ชายหนุ่มจึงช่วยโดยการดึงลูกธนูออกและรักษาบาดแผลให้ ในไม่ช้านกกระเรียนก็สามารถบินได้อีกครั้ง ชายหนุ่มปล่อยนกกระเรียนไปพร้อมกับพูดว่า “รักษาตัวดีๆ ล่ะ ระวังพวกนายพรานเอาไว้ด้วย” นกกระเรียนบินวนรอบอยู่ 3 รอบ แล้วส่งเสียงร้องแทนการขอบคุณ ก่อนที่จะบินจากไป พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดเริ่มปกคลุม ชายหนุ่มจึงออกเดินทางกลับบ้าน เมื่อชายหนุ่มมาถึงบ้าน ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบหญิงสาวหน้าตาดีอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มายืนรอเขาอยู่ “ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ ฉันคือภรรยาของคุณ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก “ผมจนมากๆ เลยนะ ผมคงดูแลคุณได้ไม่ดีหรอก” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวชี้มือไปที่ถุงใบเล็กที่เอามาด้วยพร้อมพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ฉันมีข้าวเยอะแยะ” จากนั้นก็เริ่มลงมือทำกับข้าว ชายหนุ่มนั่งมองด้วยความงุนงง จากนั้นมาทั้ง 2 ก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ก็น่าแปลกที่ถุงข้าวใบนั้นยังคงมีข้าวเต็มถุงอยู่เรื่อยมา วันหนึ่งหญิงสาวขอให้สามีของเธอสร้างห้องทอผ้าให้ เมื่อห้องเสร็จ เธอพูดกับชายหนุ่มว่า “สัญญานะ ว่าจะไม่เข้ามาในนี้” แล้วเธอก็ขังตัวเองอยู่ในห้องทอผ้าเป็นเวลานาน ชายหนุ่มก็รอแล้วรอเล่า นานเป็นเวลา 7 วัน จนในที่สุดเสียงของเครื่องทอผ้าก็หยุดลง หญิงสาวก็ออกมาด้วยร่างกายที่ซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับในมือถือผ้าผืนงาม “เอาผ้านี้ไปขายที่ตลาดคงได้ราคาดีทีเดียว” หญิงสาวพูด วันรุ่งขึ้นชายหนุ่มนำผ้าผืนนี้ไปขายที่ตลาด และเป็นไปอย่างที่เธอพูด ผ้าขายได้ราคาสูงมาก เขานำเงินกลับบ้านอย่างมีความสุข หญิงสาวยังคงอยู่ในห้องทอผ้าต่อไป เสียงเครื่องทอผ้าดังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มเริ่มเกิดความคลางแคลงสงสัย ‘หญิงสาวทอผ้าแสนสวยเช่นนี้ได้อย่างไร โดยปราศจากไหม’ ชายหนุ่มคิด ในที่สุดชายหนุ่มก็อดทนต่อความอยากรู้อยากเห็นของตนเองไม่ไหว แอบเข้าไปในห้องทอผ้า เมื่อเขาเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มตกใจยิ่งนัก เพราะภาพที่เห็นคือนกกระเรียนกำลังทอผ้าโดยใช้ขนของตัวเองแทนเส้นไหมโดยไร้ เงาของภรรยาของตนเองอยู่ในนั้น นกกระเรียนรู้ตัวว่าชายหนุ่มกำลังแอบดูอยู่ จึงกล่าวว่า “ฉันคือนกกระเรียนที่คุณช่วยไว้ ฉันต้องการตอบแทนบุญคุณ ฉันเลยตัดสินใจมาเป็นภรรยาของคุณ แต่ตอนนี้คุณได้เห็นร่างจริงของฉันแล้ว ฉันก็ไม่สามรถจะอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป” นกกระเรียนยื่นผ้าที่ทอเสร็จแล้วให้ชายหนุ่ม “ฉันให้ผ้าผืนนี้กับคุณ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ลืมฉัน” เมื่อนกกระเรียนพูดจบก็บินขึ้นฟ้าไป และไม่กลับมาอีก ตลอดไป เรียบเรียงโดย : fakevampire www.marumura.com

นกกระเรียนตอบแทนคุณ

นานมาแล้ว มีชายหนุ่มยากจนคนหนึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมกลางป่าแต่เพียงผู้เดียว เขามีอาชีพตัดไม้และหาของป่า วันหนึ่งขณะที่ชายหนุ่มกำลังทำงานในฟาร์มของเขาอย่างขะมักเขม้น มีนกกระเรียนสีขาวตกลงมาแทบเท้า ชายหนุ่มเห็นว่าที่ปีกของนกกระเรียนมีลูกธนูปักอยู่ ชายหนุ่มจึงช่วยโดยการดึงลูกธนูออกและรักษาบาดแผลให้ ในไม่ช้านกกระเรียนก็สามารถบินได้อีกครั้ง ชายหนุ่มปล่อยนกกระเรียนไปพร้อมกับพูดว่า “รักษาตัวดีๆ ล่ะ ระวังพวกนายพรานเอาไว้ด้วย” นกกระเรียนบินวนรอบอยู่ 3 รอบ แล้วส่งเสียงร้องแทนการขอบคุณ ก่อนที่จะบินจากไป

พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดเริ่มปกคลุม ชายหนุ่มจึงออกเดินทางกลับบ้าน เมื่อชายหนุ่มมาถึงบ้าน ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบหญิงสาวหน้าตาดีอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มายืนรอเขาอยู่ “ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ ฉันคือภรรยาของคุณ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก “ผมจนมากๆ เลยนะ ผมคงดูแลคุณได้ไม่ดีหรอก” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวชี้มือไปที่ถุงใบเล็กที่เอามาด้วยพร้อมพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ฉันมีข้าวเยอะแยะ” จากนั้นก็เริ่มลงมือทำกับข้าว ชายหนุ่มนั่งมองด้วยความงุนงง จากนั้นมาทั้ง 2 ก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ก็น่าแปลกที่ถุงข้าวใบนั้นยังคงมีข้าวเต็มถุงอยู่เรื่อยมา

วันหนึ่งหญิงสาวขอให้สามีของเธอสร้างห้องทอผ้าให้ เมื่อห้องเสร็จ เธอพูดกับชายหนุ่มว่า “สัญญานะ ว่าจะไม่เข้ามาในนี้”  แล้วเธอก็ขังตัวเองอยู่ในห้องทอผ้าเป็นเวลานาน ชายหนุ่มก็รอแล้วรอเล่า นานเป็นเวลา 7 วัน จนในที่สุดเสียงของเครื่องทอผ้าก็หยุดลง หญิงสาวก็ออกมาด้วยร่างกายที่ซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับในมือถือผ้าผืนงาม “เอาผ้านี้ไปขายที่ตลาดคงได้ราคาดีทีเดียว” หญิงสาวพูด วันรุ่งขึ้นชายหนุ่มนำผ้าผืนนี้ไปขายที่ตลาด และเป็นไปอย่างที่เธอพูด ผ้าขายได้ราคาสูงมาก เขานำเงินกลับบ้านอย่างมีความสุข

หญิงสาวยังคงอยู่ในห้องทอผ้าต่อไป เสียงเครื่องทอผ้าดังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มเริ่มเกิดความคลางแคลงสงสัย ‘หญิงสาวทอผ้าแสนสวยเช่นนี้ได้อย่างไร โดยปราศจากไหม’ ชายหนุ่มคิด ในที่สุดชายหนุ่มก็อดทนต่อความอยากรู้อยากเห็นของตนเองไม่ไหว แอบเข้าไปในห้องทอผ้า เมื่อเขาเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มตกใจยิ่งนัก เพราะภาพที่เห็นคือนกกระเรียนกำลังทอผ้าโดยใช้ขนของตัวเองแทนเส้นไหมโดยไร้ เงาของภรรยาของตนเองอยู่ในนั้น

นกกระเรียนรู้ตัวว่าชายหนุ่มกำลังแอบดูอยู่ จึงกล่าวว่า “ฉันคือนกกระเรียนที่คุณช่วยไว้ ฉันต้องการตอบแทนบุญคุณ ฉันเลยตัดสินใจมาเป็นภรรยาของคุณ แต่ตอนนี้คุณได้เห็นร่างจริงของฉันแล้ว ฉันก็ไม่สามรถจะอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป” นกกระเรียนยื่นผ้าที่ทอเสร็จแล้วให้ชายหนุ่ม “ฉันให้ผ้าผืนนี้กับคุณ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ลืมฉัน”  เมื่อนกกระเรียนพูดจบก็บินขึ้นฟ้าไป และไม่กลับมาอีก ตลอดไป

เรียบเรียงโดย : fakevampire www.marumura.com

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

นิทานสอนใจในองค์กร เรื่อง "ลิงกับลา" หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงและลา วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิงแล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้างเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ ได้รับความเสียหาย ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อย ๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้นห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่าง ๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉย ๆ สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่างก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้นกระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะขึ้นทันที หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เองคือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุบตีลาอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย คุณได้อะไรจากนิทานเรื่องนี้ ? แสดงความคิดเห็นได้ครับ..... เครดิต : นิทานสอนใจ อ.เอ Think Plus+ โค้ช / วีเจ / คอลัมนิสน์

นิทานสอนใจในองค์กร เรื่อง "ลิงกับลา"

หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงและลา

วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิงแล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้างเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ ได้รับความเสียหาย

ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อย ๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย

หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้นห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่าง ๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว

อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉย ๆ

สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่างก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง

ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้นกระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะขึ้นทันที

หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม

เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เองคือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ

ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุบตีลาอย่างรุนแรง

ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย

คุณได้อะไรจากนิทานเรื่องนี้ ?
แสดงความคิดเห็นได้ครับ.....

เครดิต : นิทานสอนใจ

อ.เอ Think Plus+
โค้ช / วีเจ / คอลัมนิสน์

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

นิทานเรื่องคนขับ Taxi ญี่ปุ่น? ณ สนามบินนาริตะ ผู้บริหารชาวอเมริกันโบกรถ Taxi คันหนึ่ง “ไปโรงแรม Four seasons ครับ!” ลุงโชเฟอร์โค้งรับอย่างสุภาพ เมื่อก้าวขึ้นรถ ผู้บริหารแปลกใจมาก ข้างในรถขาวสะอาด มี ผ้าลูกไม้สีขาวบริสุทธิ์หุ้มเบาะ แถมลุงคนขับสวมถุงมือสีขาว สะอาด พร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม เขาจึงถามคุณลุงว่า “ถุงมือหรือผ้าหุ้มเบาะนี่ บริษัทบังคับให้ซักเหรอครับ” ลุงยิ้มและตอบว่า “เปล่าครับ ผมซักเอง อยากให้ลูกค้ารู้สึกดีเวลาขึ้นรถผม” ผู้บริหารอเมริกันยิ้มแห้งๆ และส่ายหน้าเบาๆ ค่าซักพวกนี้ก็เป็นต้นทุนทั้งนั้น เดี๋ยวก็ได้กำไรน้อยลงกันพอดี เมื่อขับไปได้สักพัก คุณลุงก็ชี้ให้ผู้บริหารดูสองข้างทาง “นั่น พระราชวังโตเกียว สร้างขึ้นเมื่อปี XXXX ส่วนสะพานตรง นั้น ชื่อสะพาน YYY คุณทราบไหม สองแห่งนี้เกี่ยวข้องกันยัง ไง เรื่องมีอยู่ว่า สมัยเอโดะ…..” ผู้บริหารฟังอย่างสนอกสนใจ แต่ก็เผลอถามคุณลุงอีกว่า “ทำไมคุณถึงรู้ละเอียดและเล่าได้ขนาดนี้” ลุงยิ้มและตอบว่า “วันหยุดหรือช่วงเวลาว่าง ผมก็นั่งศึกษาเพิ่มเติมเอง ไปเดิน หาซื้อหนังสือประวัติศาสตร์หนังสือท่องเที่ยวมาดูบ้าง เวลา ลูกค้านั่ง จะได้มีอะไรเล่าให้แขกฟังเพลินๆ” ระหว่างฟังผู้บริหารอเมริกันคำนวณตัวเลขในใจ ค่าหนังสือก็ คงแพงอยู่ เพราะลุงรู้หลายเรื่องคงจะอ่านหลายเล่ม แถมวัน หยุดแทนที่ลุงจะได้พักสบายๆ กลับต้องมานั่งอ่านตำราเยอะ แยะเสียเวลาแกแท้ๆ คนญี่ปุ่นนี่จะทำงานไปถึงไหนกัน “แล้ววันหยุด คุณทำอะไรอีกบ้าง นอกจากอ่านหนังสือ” “ก็อยู่กับภรรยาและลูกๆ ครับ ส่วนใหญ่ ก็พาครอบครัวขับรถ เล่นในโตเกียว ศึกษาเส้นทางใหม่ๆ ไปด้วยในตัวผมชอบหา เส้นทางลัด ทางที่สั้นๆ หรือรถไม่ติด จะได้ไปส่งผู้โดยสาร ได้เร็วๆ ใครๆ ก็อยากถึงที่หมายให้เร็วที่สุด ใช่ไหมครับ” ผู้บริหารเริ่มคิดต่อ ขับรถตัวเองหาเส้นทางเปลืองน้ำมันแถม ถ้าพาผู้โดยสารไปเส้นทางลัด คนขับก็จะได้ค่าแท็กซี่น้อย ลง ลุงนี่ … ช่างไม่รู้อะไรเลย เมื่อถึงโรงแรม Four Seasons คุณลุงเปิดหลังรถ และหยิบ กระเป๋าของผู้บริหารลงมาวางอย่างนิ่มนวล ผู้บริหารประทับ ใจเรื่องราวและความใส่ใจของคุณลุงมาก จึงตั้งใจจะให้ทิป แก 1 หมื่นเยน คุณลุงยิ้มและกล่าวปฏิเสธอย่างแข็งขัน “ที่ญี่ปุ่น ไม่มีธรรมเนียมการทิปครับ” ผู้บริหารอเมริกันยิ่งเกาหัวแกรกๆ …คุณลุง จะเสียเงินทำความสะอาดรถบ่อยๆ ทำไม จะซื้อหนังสือมานั่งศึกษาเรื่องโตเกียวหรือ จะหาเส้นทางใหม่ๆ ไปทำไม ทิปก็ไม่เอาอีก..กำไรก็ยิ่งลดลง คุณลุงเห็นผู้บริหารอเมริกัน ทำหน้างุนงง จึงกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “แค่คุณมีความสุข แค่คุณประทับใจ แค่คุณรักโตเกียว รักประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น ผมก็มีความสุขแล้วครับ” ผู้บริหารอเมริกันก็ยังคงไม่เข้าใจ ยังไงๆคุณลุงก็ขาดทุนอยู่ ดี กำไรน้อย ไม่มีเวลาพักเป็นของตัวเอง เจ้านายก็ไม่รู้ว่า คุณลุงตั้งใจทำงานขนาดนี้ คุณลุงทำงานไปเพื่ออะไร? ผู้บริหารอเมริกันลากกระเป๋าเดินเข้าโรงแรมไปพร้อมคำถาม ในใจ เขาคงไม่ทันสังเกตว่ามีพนักงานโรงแรมหญิงเดินมา หาคุณลุงพร้อมบอกว่า “ซุซุกิซังคะ คราวที่แล้ว ขอบพระคุณมากนะคะ แขกติดใจ คุณกันใหญ่บอกว่า คุณรู้สถานที่ต่างๆ ในโตเกียวดีมากอย่าง กับเป็นไกด์ทัวร์ ดิฉันอยากให้คุณช่วยไปรับแขก VIP ท่าน หนึ่งที่สนามบินค่ะ” ผู้บริหารอเมริกัน คงไม่ทันสังเกตอีกว่า ในรถ Taxi ของคุณ ลุงมีแฟ้มสีเหลือง ข้างในเป็นตารางเวลาไปรับลูกค้าประจำ ตารางแน่นเอี้ยด คุณลุงแทบไม่ต้องขับรถวนหาลูกค้าเลย มี แต่คนจะจองตัวคุณลุงเพราะประทับใจในตัวแก แถมยังบอก ต่อเพื่อนๆ ให้ใช้บริการคุณลุงอีกด้วย ถ้าผู้บริหารอเมริกันอ่านถึงตอนจบตรงนี้ เขาคงคำนวณต่อ ว่าแล้วลูกค้าเก่ามีกี่ % สร้างรายได้ได้กี่ % คุ้มกับการลงทุน ค่าน้ำมัน ค่าหนังสือ ค่าซักผ้าของคุณลุงไหม คุณลุงแอบกระซิบบอกว่า ผู้บริหารลืมบวกตัวแปรไป 3 ตัว ตัวแปรตัวนี้มีค่ามาก ถ้าใส่ลงไปในสมการ “กำไร = รายได้- ต้นทุน” ยังไงๆ กำไรแกก็เป็นบวกมหาศาล ตัวแปรนั้นคือ “ความสุขจากการเห็นผู้อื่นมีความสุข ความอิ่มใจกับผลงานที่ตัวเองสร้าง และความภูมิใจในคุณค่าของตัวเอง” Japan Gossip by เกตุวดี Marumura ภาพ : https://coachpatm888blog.files.wordpress.com/…/10/facts3.jpg

นิทานเรื่องคนขับ Taxi ญี่ปุ่น?

ณ สนามบินนาริตะ ผู้บริหารชาวอเมริกันโบกรถ Taxi คันหนึ่ง
“ไปโรงแรม Four seasons ครับ!”
ลุงโชเฟอร์โค้งรับอย่างสุภาพ
เมื่อก้าวขึ้นรถ ผู้บริหารแปลกใจมาก  ข้างในรถขาวสะอาด  มี
ผ้าลูกไม้สีขาวบริสุทธิ์หุ้มเบาะ แถมลุงคนขับสวมถุงมือสีขาว
สะอาด พร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม
เขาจึงถามคุณลุงว่า
“ถุงมือหรือผ้าหุ้มเบาะนี่ บริษัทบังคับให้ซักเหรอครับ”
ลุงยิ้มและตอบว่า
“เปล่าครับ ผมซักเอง อยากให้ลูกค้ารู้สึกดีเวลาขึ้นรถผม”
ผู้บริหารอเมริกันยิ้มแห้งๆ และส่ายหน้าเบาๆ
ค่าซักพวกนี้ก็เป็นต้นทุนทั้งนั้น เดี๋ยวก็ได้กำไรน้อยลงกันพอดี

เมื่อขับไปได้สักพัก คุณลุงก็ชี้ให้ผู้บริหารดูสองข้างทาง
“นั่น พระราชวังโตเกียว สร้างขึ้นเมื่อปี XXXX ส่วนสะพานตรง
นั้น ชื่อสะพาน YYY คุณทราบไหม สองแห่งนี้เกี่ยวข้องกันยัง
ไง เรื่องมีอยู่ว่า สมัยเอโดะ…..”
ผู้บริหารฟังอย่างสนอกสนใจ แต่ก็เผลอถามคุณลุงอีกว่า
“ทำไมคุณถึงรู้ละเอียดและเล่าได้ขนาดนี้”
ลุงยิ้มและตอบว่า
“วันหยุดหรือช่วงเวลาว่าง   ผมก็นั่งศึกษาเพิ่มเติมเอง ไปเดิน
หาซื้อหนังสือประวัติศาสตร์หนังสือท่องเที่ยวมาดูบ้าง  เวลา
ลูกค้านั่ง จะได้มีอะไรเล่าให้แขกฟังเพลินๆ”
ระหว่างฟังผู้บริหารอเมริกันคำนวณตัวเลขในใจ ค่าหนังสือก็
คงแพงอยู่ เพราะลุงรู้หลายเรื่องคงจะอ่านหลายเล่ม แถมวัน
หยุดแทนที่ลุงจะได้พักสบายๆ กลับต้องมานั่งอ่านตำราเยอะ
แยะเสียเวลาแกแท้ๆ คนญี่ปุ่นนี่จะทำงานไปถึงไหนกัน

“แล้ววันหยุด คุณทำอะไรอีกบ้าง นอกจากอ่านหนังสือ”
“ก็อยู่กับภรรยาและลูกๆ ครับ  ส่วนใหญ่ ก็พาครอบครัวขับรถ
เล่นในโตเกียว ศึกษาเส้นทางใหม่ๆ ไปด้วยในตัวผมชอบหา
เส้นทางลัด ทางที่สั้นๆ หรือรถไม่ติด   จะได้ไปส่งผู้โดยสาร
ได้เร็วๆ  ใครๆ ก็อยากถึงที่หมายให้เร็วที่สุด ใช่ไหมครับ”
ผู้บริหารเริ่มคิดต่อ ขับรถตัวเองหาเส้นทางเปลืองน้ำมันแถม
ถ้าพาผู้โดยสารไปเส้นทางลัด   คนขับก็จะได้ค่าแท็กซี่น้อย
ลง  ลุงนี่ … ช่างไม่รู้อะไรเลย

เมื่อถึงโรงแรม Four Seasons  คุณลุงเปิดหลังรถ และหยิบ
กระเป๋าของผู้บริหารลงมาวางอย่างนิ่มนวล ผู้บริหารประทับ
ใจเรื่องราวและความใส่ใจของคุณลุงมาก จึงตั้งใจจะให้ทิป
แก 1 หมื่นเยน คุณลุงยิ้มและกล่าวปฏิเสธอย่างแข็งขัน
“ที่ญี่ปุ่น ไม่มีธรรมเนียมการทิปครับ”
ผู้บริหารอเมริกันยิ่งเกาหัวแกรกๆ …คุณลุง
จะเสียเงินทำความสะอาดรถบ่อยๆ ทำไม
จะซื้อหนังสือมานั่งศึกษาเรื่องโตเกียวหรือ
จะหาเส้นทางใหม่ๆ ไปทำไม
ทิปก็ไม่เอาอีก..กำไรก็ยิ่งลดลง  คุณลุงเห็นผู้บริหารอเมริกัน
ทำหน้างุนงง จึงกล่าวอย่างนอบน้อมว่า

“แค่คุณมีความสุข
แค่คุณประทับใจ
แค่คุณรักโตเกียว รักประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น
ผมก็มีความสุขแล้วครับ”
ผู้บริหารอเมริกันก็ยังคงไม่เข้าใจ  ยังไงๆคุณลุงก็ขาดทุนอยู่
ดี  กำไรน้อย  ไม่มีเวลาพักเป็นของตัวเอง   เจ้านายก็ไม่รู้ว่า
คุณลุงตั้งใจทำงานขนาดนี้ คุณลุงทำงานไปเพื่ออะไร?

ผู้บริหารอเมริกันลากกระเป๋าเดินเข้าโรงแรมไปพร้อมคำถาม
ในใจ  เขาคงไม่ทันสังเกตว่ามีพนักงานโรงแรมหญิงเดินมา
หาคุณลุงพร้อมบอกว่า
“ซุซุกิซังคะ  คราวที่แล้ว  ขอบพระคุณมากนะคะ  แขกติดใจ
คุณกันใหญ่บอกว่า คุณรู้สถานที่ต่างๆ ในโตเกียวดีมากอย่าง
กับเป็นไกด์ทัวร์    ดิฉันอยากให้คุณช่วยไปรับแขก VIP ท่าน
หนึ่งที่สนามบินค่ะ”

ผู้บริหารอเมริกัน  คงไม่ทันสังเกตอีกว่า ในรถ Taxi ของคุณ
ลุงมีแฟ้มสีเหลือง  ข้างในเป็นตารางเวลาไปรับลูกค้าประจำ
ตารางแน่นเอี้ยด คุณลุงแทบไม่ต้องขับรถวนหาลูกค้าเลย มี
แต่คนจะจองตัวคุณลุงเพราะประทับใจในตัวแก แถมยังบอก
ต่อเพื่อนๆ ให้ใช้บริการคุณลุงอีกด้วย

ถ้าผู้บริหารอเมริกันอ่านถึงตอนจบตรงนี้   เขาคงคำนวณต่อ
ว่าแล้วลูกค้าเก่ามีกี่ % สร้างรายได้ได้กี่ %  คุ้มกับการลงทุน
ค่าน้ำมัน ค่าหนังสือ ค่าซักผ้าของคุณลุงไหม

คุณลุงแอบกระซิบบอกว่า    ผู้บริหารลืมบวกตัวแปรไป 3 ตัว
ตัวแปรตัวนี้มีค่ามาก ถ้าใส่ลงไปในสมการ “กำไร = รายได้-
ต้นทุน”  ยังไงๆ กำไรแกก็เป็นบวกมหาศาล

ตัวแปรนั้นคือ
“ความสุขจากการเห็นผู้อื่นมีความสุข
ความอิ่มใจกับผลงานที่ตัวเองสร้าง
และความภูมิใจในคุณค่าของตัวเอง”

Japan Gossip by เกตุวดี Marumura
ภาพ : https://coachpatm888blog.files.wordpress.com/…/10/facts3.jpg

นิทานจีนสอนแง่คิด “โชคดีหรือโชคร้าย” มีชายชราคนหนึ่ง เขาทำงานหนักมาตลอดทั้งชีวิต แต่เขานั้น นับได้ว่าเป็นผู้เพียบพร้อม …เขามีลูกชายที่ดีและแข็งแรง และมีม้าที่ดีอยู่ หนึ่งตัว ม้าตัวนี้สามารถทำงานได้ทุกอย่าง ทั้งเดินทาง ขนของ แม้กระทั่งทำนา…….. เพื่อนบ้านของเขา ต่างก็ชื่นชมชายชราที่มีพร้อมสรรพ อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆม้าที่แสนรู้ใจ และทำงานได้สารพัดอย่าง ได้เตลิดหนีไปจากคอกของชายชรา แน่นอนว่าเมื่อม้าหายไป ชายชราก็ไม่มีม้าเหลือเลยสักตัว เมื่อเพื่อนบ้านของเขาทราบข่าว ก็มาหาชายชราและกล่าวว่า ท่านนี้โชคร้ายจริงๆ อยู่ดีๆม้าก็หายไป….เช่นนี้ ชายชราได้ยินก็บอกว่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นโชคร้าย… หลังจากม้าหายไปหนึ่งสัปดาห์ ม้าของชายชราก็กลับมา มันหิวโหย และไม่ถนัดที่จะอาศัยอยู่ในป่า และได้พาเพื่อนม้ามาด้วยอีก ถึงสิบสองตัว ชายชราจึงมีม้าเลี้ยงเพิ่มขึ้นจากหนึ่งตัว เป็นสิบสามตัวเลยที่เดียว… แน่นอนว่า พอเพื่อนบ้านทราบข่าวก็มาแสดงความยินดีกับชายชรา ท่านนี้ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน…ชายชราก็ถามเพื่อนบ้านกลับว่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่าโชคดี…… สองเดือนต่อมา บุตรชายคนเดียวของชายชรากำลังจะขี่ม้าไปซื้อของ ยังเมืองข้างๆ เมื่อออกจากป่า ม้าก็สะบัดบุตรชายของเขาตกจากหลังม้า ขาของเขาหักและ ชายหนุ่มต้องขาพิการ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา…. เมื่อเพื่อนบ้านทราบข่าว ต่างก็มาแสดงความเสียใจกับชายชรา ท่านนี้ช่างโชคร้ายเสียเหลือเกิน… ชายชราก็ถามเพื่อนบ้านด้วยประโยคเดิมว่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่านี่คือ โชคร้าย….. เวลาผ่านไปหนึ่งปี ทางการประกาศเกณฑ์กำลังพลคนหนุ่ม ไปเป็นทหารรบกับข้าศึก ชายหนุ่มในหมู่บ้านถูกเกณฑ์ไปจนหมด เหลือเพียงเด็ก คนแก่ และผู้หญิง คนหนุ่มคนเดียวที่ไม่ถูกเกณฑ์ไปรบ ก็คือ บุตรชายขาพิการของชายชรานั่นเอง…. การศึกครั้งนั้น ทัพจีนพ่ายแพ้ ทำให้ชายหนุ่มที่ถูกเกณฑ์ไปรบ ต้องเสียชีวิตทั้งหมด สร้างความเศร้าโศกเสียใจ ให้กับคนในหมู่บ้าน เป็นยิ่งนัก…… นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราหามีทางทราบได้ว่า เหตุการณ์ไหนจะเป็นโชคดี หรือเป็นโชคร้ายที่แท้จริง…….. เครดิต : นิทานจีนสอนแง่คิด อ.เอ Think Plus+ โค้ช / วีเจ / คอลัมนิสต์

นิทานจีนสอนแง่คิด “โชคดีหรือโชคร้าย”

            มีชายชราคนหนึ่ง  เขาทำงานหนักมาตลอดทั้งชีวิต

แต่เขานั้น นับได้ว่าเป็นผู้เพียบพร้อม …เขามีลูกชายที่ดีและแข็งแรง

และมีม้าที่ดีอยู่ หนึ่งตัว  ม้าตัวนี้สามารถทำงานได้ทุกอย่าง

ทั้งเดินทาง  ขนของ   แม้กระทั่งทำนา……..

เพื่อนบ้านของเขา ต่างก็ชื่นชมชายชราที่มีพร้อมสรรพ

        อยู่มาวันหนึ่ง  จู่ๆม้าที่แสนรู้ใจ และทำงานได้สารพัดอย่าง

ได้เตลิดหนีไปจากคอกของชายชรา  แน่นอนว่าเมื่อม้าหายไป

ชายชราก็ไม่มีม้าเหลือเลยสักตัว  เมื่อเพื่อนบ้านของเขาทราบข่าว

ก็มาหาชายชราและกล่าวว่า  ท่านนี้โชคร้ายจริงๆ อยู่ดีๆม้าก็หายไป….เช่นนี้

ชายชราได้ยินก็บอกว่า  ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นโชคร้าย…

            หลังจากม้าหายไปหนึ่งสัปดาห์  ม้าของชายชราก็กลับมา

มันหิวโหย  และไม่ถนัดที่จะอาศัยอยู่ในป่า และได้พาเพื่อนม้ามาด้วยอีก

ถึงสิบสองตัว  ชายชราจึงมีม้าเลี้ยงเพิ่มขึ้นจากหนึ่งตัว เป็นสิบสามตัวเลยที่เดียว…

แน่นอนว่า  พอเพื่อนบ้านทราบข่าวก็มาแสดงความยินดีกับชายชรา

ท่านนี้ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน…ชายชราก็ถามเพื่อนบ้านกลับว่า

ท่านรู้ได้อย่างไรว่าโชคดี……

            สองเดือนต่อมา  บุตรชายคนเดียวของชายชรากำลังจะขี่ม้าไปซื้อของ

ยังเมืองข้างๆ   เมื่อออกจากป่า  ม้าก็สะบัดบุตรชายของเขาตกจากหลังม้า

ขาของเขาหักและ ชายหนุ่มต้องขาพิการ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา….

เมื่อเพื่อนบ้านทราบข่าว ต่างก็มาแสดงความเสียใจกับชายชรา

ท่านนี้ช่างโชคร้ายเสียเหลือเกิน… ชายชราก็ถามเพื่อนบ้านด้วยประโยคเดิมว่า

ท่านรู้ได้อย่างไรว่านี่คือ  โชคร้าย…..

        เวลาผ่านไปหนึ่งปี  ทางการประกาศเกณฑ์กำลังพลคนหนุ่ม

ไปเป็นทหารรบกับข้าศึก  ชายหนุ่มในหมู่บ้านถูกเกณฑ์ไปจนหมด

เหลือเพียงเด็ก  คนแก่    และผู้หญิง  คนหนุ่มคนเดียวที่ไม่ถูกเกณฑ์ไปรบ

ก็คือ บุตรชายขาพิการของชายชรานั่นเอง….

            การศึกครั้งนั้น  ทัพจีนพ่ายแพ้  ทำให้ชายหนุ่มที่ถูกเกณฑ์ไปรบ

ต้องเสียชีวิตทั้งหมด  สร้างความเศร้าโศกเสียใจ ให้กับคนในหมู่บ้าน

เป็นยิ่งนัก……

            นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า   เราหามีทางทราบได้ว่า  เหตุการณ์ไหนจะเป็นโชคดี

หรือเป็นโชคร้ายที่แท้จริง……..

เครดิต : นิทานจีนสอนแง่คิด

อ.เอ Think Plus+
โค้ช / วีเจ / คอลัมนิสต์